วันอังคารที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ขนมมงคล



ขนมมงคล





ทองหยิบ
เป็น ขนมมงคล ชนิดหนึ่ง มี ลักษณะ งดงามคล้าย ดอกไม้สีทอง ต้องใช้ความสามารถและ ความพิถีพิถัน เป็นอย่างมาก ใน การ ประดิษฐ์ประดอย จับกลีบให้มีความงดงามเหมือนกลีบดอกไม้ ชื่อ ขนมทองหยิบ เป็นชื่อ สิริมงคล เชื่อว่าหากนำไปใช้ประกอบ พิธีมงคล ต่างๆ หรือให้เป็น ของขวัญ แก่ใครแล้ว จะทำให้เกิดความมั่งคั่งร่ำรวย หยิบจับ การงาน สิ่งใดก็จะ ร่ำรวย มีเงินมีทอง สมดังชื่อ "ทองหยิบ"




ทองหยอด  
ใช้ประกอบใน พิธีมงคล ทั้งหลาย หรือมอบเป็น ของขวัญ ใน โอกาสสำคัญ ๆ แก่ผู้ใหญ่ที่เคารพรักหรือ ญาติสนิทมิตรสหาย แทน คำอวยพร ให้ ร่ำรวยมีเงินมีทอง ใช้จ่ายอย่างไม่รู้หมดสิ้นประดุจให้ ทองคำ แก่กัน



ฝอยทอง
    เป็น ขนม ใน ตระกูลทอง ที่มีลักษณะเป็น เส้น นิยมใช้กันในง านมงคลสมรส ถือเคล็ด กันว่าห้ามตัดขนม ให้สั้นต้องปล่อยให้เป็น เส้นยาวๆ เพื่อที่ คู่บ่าวสาว จะได้ ครองชีวิตคู่ และ รัก กันได้อย่างยืนยาวตลอดไป




ขนมชั้น
   เป็น ขนมไทย ที่ถือเป็น ขนมมงคล และจะต้อง หยอด ขนมชั้น ให้ได้ 9 ชั้น เพราะ คนไทย มีความเชื่อว่าเลข 9 เป็น เลขสิริมงคล หมายถึง ความเจริญก้าวหน้า และ ขนมชั้น ก็หมายถึงการได้เลื่อนชั้น เลื่อน ยศถาบรรดาศักดิ์ ให้สูงส่งยิ่งๆ ขึ้นไป



ขนมทองเอก 
   เป็น ขนม ในตระกูล ทอง อีกชนิดหนึ่งที่ต้องใช้ความ พิถีพิถันเ ป็นอย่างยิ่งในทุก ขั้นตอน การทำ มีลักษณะที่ สง่างาม โดดเด่นกว่า ขนม ตระกูลทอง ชนิดอื่นๆ ตรงที่มี ทองคำเปลว ติดไว้ที่ด้านบนของขนม คำว่า "เอก"หมายความถึง การเป็นที่หนึ่ง การใช้ ขนมทองเอก ประกอบ พิธีมงคล สำคัญต่างๆ หรือใช้มอบเป็น ของขวัญ ใน งานฉลอง การเลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง จึง เปรียบเสมือน คำอวยพร ให้ เป็นที่หนึ่ง ด้วย






ขนมเม็ดขนุน
     เป็นหนึ่งใน ขนม ตระกูลทองเช่นกัน มี สีเหลืองทอง รูปร่างลักษณะคล้ายกับ เม็ดขนุน ข้างในมีไส้ทำด้วย ถั่วเขียวบด มี ความเชื่อกันว่า ชื่อของ ขนมเม็ดขนุน จะเป็น สิริมงคล ช่วยให้มีคนสนับสนุน หนุนเนื่อง ในการดำเนินชีวิตและในหน้าที่การงานหรือ กิจการต่างๆ ที่ได้กระทำอยู่




ขนมจ่ามงกุฎ
    เป็น ขนม ที่ทำยากมี ขั้นตอนใน การทำ สลับซับซ้อน นิยมทำกันเพื่อใช้ประกอบ พิธีการ ที่สำคัญจริงๆ คำว่า "จ่ามงกุฎ" หมายถึง การเป็น หัวหน้าสูงสุดแสดงถึงความมี เกียรติยศสูงส่ง นิยมใช้เป็น ของขวัญ ใน งานเลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่งถือเป็น การแสดงความยินดี และ อวยพร ให้มีความก้าวหน้า ในหน้าที่การ งาน ยิ่งๆ ขึ้นไป




ขนมถ้วยฟู
    ให้ ความหมาย อันเป็น สิริมงคล หมายถึง ความเจริญรุ่งเรืองเฟื่องฟูนิยมใช้ประกอบใน พิธีมงคล ต่างๆ ทุกงาน เคล็ดลับของการทำ ขนมถ้วย ให้มีกลิ่นหอม น่ารับประทานนั้น คือการใช้ น้ำดอกไม้ สดเป็น ส่วนผสม และการอบร่ำ ด้วย ดอกมะลิ สดในขั้นตอนสุดท้ายของ การทำ



ขนมเสน่ห์จันทน์
    "จันทน์" เป็น ต้นไม้ชนิดหนึ่ง มี ผลสุก สีเหลือง เปล่งปลั่งทั้งสวยงามและมี กลิ่นหอม ชวนให้หลงใหล คน โบราณ จึงนำ ความมีเสน่ห์ของ ผลจันทน์ มาประยุกต์ทำเป็น ขนม และได้นำ "ผลจันทน์ป่น" มาเป็นส่วนผสมทำให้มี กลิ่นหอม เหมือน ผลจันทน์ ให้ชื่อว่า "ขนมเสน่ห์จันทน์" โดยเชื่อว่าคำว่า เสน่ห์จันทน์ เป็นคำที่มี สิริมงคล จะทำให้มี เสน่ห์ คนรักคนหลงดังเสน่ห์ ของ ผลจันทน์ ขนมเสน่ห์จันทน์ จึงถูกนำมาใช้ประกอบในงาน พิธีมงคลสมรส


ขนม ในงานมงคล อื่น ๆ ก็มีชื่ออันเป็น มงคล และมี ความหมาย ไปในทางที่ ดี เช่นกัน อาทิ ขนมกงหรือขนมกงเกวียนซึ่งหมายถึง กงเกวียน ที่หมุนไปข้างหน้าเช่นเดียวกับ พระธรรมจักร ความหมายที่ต้องการสื่อถึง งานแต่งงาน ก็คือต้องการให้ คู่บ่าวสาว รัก และ ครองคู่ อยู่ด้วยกัน ชั่วนิจนิรันดร์ ขนมสามเกลอ ซึ่งเป็น ขนม ที่แสดงถึง ความสามัคคีและไม่มีวันพรากจากกัน โดยใช้เป็น ขนมเสี่ยงทาย ใน งานแต่งงาน  ลักษณะของ ขนมสามเกลอ เป็น ลูกกลม ๆ เรียงกัน ๓ ลูกแบบก้อนเส้า การเสี่ยงทาย จะดูกันตอน ทอด กล่าวคือ ถ้า ทอด แล้วยังอยู่ติดกัน ๓ ลูก ถือว่า บ่าวสาว จะ รักใคร่กลมเกลียวกันถ้าทอดแล้วติดกัน ๒ ลูก แสดงว่าจะมีลูกยากหรือไม่มีเลย และถ้าหลุดจากกันหมด ไม่ติดกันเลย แสดงว่าชีวิตคู่ จะไม่ยั่งยืนหรือ ชีวิตสมรส จะไม่มีความสุข อีกนัยหนึ่ง…ถ้า ทอด ขนมสามเกลอ แล้ว พองฟู ขึ้นจะถือว่าเป็นคู่ที่เหมาะสมกับราว กิ่งทอง กับ ใบหยก แต่ถ้า ทอด แล้วด้าน ไม่พองฟู ก็ถือว่าใช้ไม่ได้ นอกจากนี้ก็ยังมีขนมโพรงแสม ที่มีรูปร่างยาวใหญ่คล้ายกับ เสาเรือน ทำให้อยู่กันยืนยาว นอกจากนี้ก็ยังมี ขนมใส่ไส้ ขนมฝักบัว ขนมบ้าบิ่น ขนมนมสาว อีกด้วย


ที่มา :



การเขียนรายงานที่ดี


รายงานที่ดี

สาระสำคัญ
การศึกษาปัจจุบันส่งเสริมให้ผู้เรียน คิดเป็น ทำเป็น แก้ปัญหาเป็น และส่งเสริมให้ผู้เรียนศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองมากขึ้น การเสนอรายงานจึงมีบทบาท และสำคัญยิ่งในการเรียนการสอนซึ่งส่งเสริมให้ผู้เรียนทำงานให้เป็นระเบียบเรียบร้อย มีเหตุผล มีทักษะในการใช้ภาษาเพราะการเขียน หรือเรียบเรียงข้อมูลในรายงาน จะต้องทำอย่างเป็นระบบ ต้องอ้างอิงหลักฐาน หรือมีข้อเท็จจริงมาสนับสนุนเรื่องราวที่ได้รวบรวมมา เพื่อเป็นรายงาน

ความหมายของรายงาน
ได้มีผู้ให้ความหมายของคำว่ารายงาน รายงานไว้หลายความหมายด้วยกันเช่น วาณี ฐาปนวงศ์ศานติ (2539 : 98) กล่าวว่ารายงานหมายถึง กิจกรรมในการศึกษาที่นับเป็นการประเมินผล การศึกษาส่วนหนึ่ง มีหลาบแบบเช่น การทดลอง การสำรวจ หรือวิธีการอื่นๆ ที่ผู้สอนจะกำหนดให้นักศึกษาทำ อาจเป็นรายงานบุคคล หรือกลุ่ม ทั้งนี้แล้วแต่ลักษณะวิชา และผลของรายงานจะต้องเขียนตามแบบที่สถาบันนั้นกำหนด
บุปผา สุดสวัสดิ์ (2524 : 64) กล่าวว่า รายงานหมายถึง การศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง แล้วนำข้อมูลนั้นมาเรียบเรียงขึ้นใหม่ อย่างมีระเบียบแบบแผน มีเนื้อหาต่อเนื่อง และสมบูรณ์ ถือเป็นส่วนหนึ่งของการประเมิลผลด้วย
จากคำจำกัดความ หรือความหมายดังกล่าว สรุปได้ว่า รายงาน หมายถึงเรื่องราวที่ได้ศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องใดเรืองหนึ่งอย่างถูกต้อง สมบูรณ์ แล้วนำข้อมูลนั้นมาเรียบเรียง
ขึ้นใหม่อย่างมีระเบียบแบบแผน จากนั้นจึงเขียน หรือพิมพ์ขึ้นตามแบบแผนที่นิยมเป็นสากล
จุดมุ่งหมายการเขียนรายงาน
การเขียนรายงาน ถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งที่ช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ด้วยตนเองจากแหล่งความรู้ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือ สิ่งพิมพ์อื่นๆ วิทยุ โทรทัศน์ ฯลฯ จากการที่ปัจจุบันการเรียนการสอนมักเน้นให้ผู้เรียนมีการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองมากขึ้นทั้งนี้เพื่อให้เกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ มีความรับผิดชอบในการทำงาน ผู้สอนจึงมักมอบหมาย หรือกำหนดให้ผู้เรียนเสนอผลงานการเรียนรู้ออกมาในรูปแบบของรายงาน ซึ่งมีจุดมุ่งหมายดังนี้
1. เพื่อให้ผู้เรียนมีโอกาสศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง มีความรู้กว้างขวาง และลึกซึ้งกว่าการศึกษาจากตำรา หรือ จกห้องเรียนเพียงอย่างเดียว
2. เพื่อให้ผู้เรียนมองเห็นแนวทางในการศึกษาหาความรู้ และรู้จักแหล่งความรู้ต่างๆ
3. เพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนรู้จักใช้วิจารณญาณของตนเอง มีความคิดมีเหตุผล และสามารถรวบรวมข้อมูลอย่างมีหลักฐาน
4. เพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนรักการอ่าน และการค้นคว้าหาความรู้ใหม่ๆ
5. เพื่อให้ผู้เรียนมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
6. เพื่อฝึกให้ผู้เรียนมีทักษะในการใช้ภาษา ถ่ายทอดความคิดของตนเองให้ผู้อื่นอ่านเกิดภาพพจน์ และจินตนาการ
7. เพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจรูปแบบ ขั้นตอนการเขียนรายงานที่ถูกต้อง ซึ่งเป็นพื้นฐานของการศึกษาในระดับที่สูงขึ้น
ประเภทของรายงานโดยทั่วไปแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ

1. รายงานทั่วไป
2. รายงานทางวิชาการ
1. รายงานทั่วไป หมายถึง รายงานข้อเท็จจริง หรือข้อคิดเห็นของบุคคล องค์การ สถาบันต่างๆ ซึ่งได้ดำเนินไปแล้ว หรือกำลังดำเนินอยู่ หรือจะดำเนินต่อไป เพื่อให้ผู้บังคับบัญชาผู้ร่วมงาน หรือผู้สนใจทราบ ได้แก่
1.1 รายงานทางราชการ หมายถึงข้อเขียนที่เป็นคำกล่าวรายงานในพิธีของทางราชการ เช่น พิธีเปิดการสัมมนา พีเปิดการแข่งขัน พิธีการประกวด ฯลฯ เป็นการรายงานให้ทราบถึงความเป็นมาของงาน การดำเนินงาน ผู้ร่วมงาน ระยะเวลาของงาน จำนวนผู้ร่วมงาน และลงท้ายด้วยการเชิญประธานในพิธีกล่าวเปิดงาน
1.2 รายงานการประชุม หมายถึง รายงานที่เกิดจากการประชุม เรียกว่ารายงานบันทึกการประชุม ทุกครั้งที่หน่วยงานมีการประชุม จะต้องมีการบันทึกเรื่องราวต่างๆ ที่องค์ประชุมกล่าวถึง ตั้งแต่เริ่มประชุม จนสิ้นสุดการประชุม และรายงานการประชุมนี้ต้องรายงานให้ที่ประชุมรับรองในการประชุมครั้งต่อไป
1.3 รายงานข่าว หมายถึง ข้อเขียนที่เขียนขึ้น หรือพูดขึ้น เพื่อรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ข่าวที่รายงานต้องเป็นเรื่องจริง และมีหลักฐานยืนยันได้
2. รายงานทางวิชาการ หมายถึง การเสนอข้อเท็จจริงที่ได้จากการศึกษาค้นคว้า หรือวิจัยอย่างมีระบบของบุคคล กลุ่มบุคคล หน่วยงาน ได้ข้อเท็จจริงอย่างไรก็รายงานไปอย่างนั้นตามความเป็นจริง รายงานทางวิชาการอาจเป็นรายงานการค้นคว้าทดลอง หรือเอกสารการสำรวจการวิจัย ซึ่งนิยมในปัจจุบัน
รายงานทางวิขาการแบ่งเป็น 3 ประเภท คือ
2.1 รายงาน (Report)
2.2 ภาคนิพนธ์ (Term paper)
2.3 วิทยานิพนธ์ หรือปริญญานิพนธ์ (Thesis or Dissertation)
2.1 รายงาน (Report) ได้แก่
2.1.1 กิจกรรมอย่างหนึ่งในการศึกษา และเป็นส่วนหนึ่งในการประเมินผลการศึกษา
2.1.2 เรื่องที่เรียบเรียงขึ้นตามแบบแผนที่สถาบันนั้นกำหนด
2.1.3 ผลการศึกษาค้นคว้าโดยวิธีใดวิธีหนึ่ง หรือหลายวิธี เช่น การสังเกต การทดลอง การสำรวจ ฯลฯ
2.1.4 รายงานที่ผู้สอนกำหนดให้ผู้เรียนทำเป็นรายบุคคล หรือทำเป็นกลุ่มตามความเหมาะสม
2.1.5 วิธีที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า หรือความสั้น ยาวของรายงาน ย่อมแตกต่างไปตามหัวข้อเรื่อง
2.2 ภาคนิพนธ์ (Term paper) ได้แก่คำอธิบายของรายงาน 5 ข้อข้างต้นและ
2.2.1 ภาคนิพนธ์เป็นรายงานทางวิชาการที่ครอบคลุม สัมพันธ์ กับเนื้อหาทั้งหมดของวิชาที่เรียน หรือที่ยังไม่ได้เรียน และผู้สอนมอบหมายให้ผู้เรียนค้นคว้าเพิ่มเติม
2.2.2 ภาคนิพนธ์อาจไม่จำเป็นต้องแสดงความคิดริเริ่มในแนวการค้นคว้าวิจัยที่เป็นของผู้เรียน ซึ่งต่างกับลักษณะของปริญญานิพนธ์
2.2.3 ภาคนิพนธ์มุ่งให้ผู้เขียนแสดงความสามารถโดยเฉพาะในหัวข้อ หรือเรื่องราวที่ไม่ได้ศึกษากันอย่างลึกซึ้งในชั้นเรียน ในเรื่องต่อไปนี้
- ความสามารถที่จะค้นหา และรวบรวมข้อมูลจากห้องสมุด เพื่อประกอบงานนั้นให้มีคุณค่ายิ่งขึ้น
- ความสามารถที่จะเลือกเฟ้นข้อมูล ข้อเท็จจริง และความคิด โดยนำเอาเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อเรื่องที่ต้องการศึกษามาใช้ให้มีคุณค่า
- ความสามารถจัดระบบ เรียบเรียงข้อมูลด้วยภาษาที่ถูกต้อง ชัดเจนลำดับ ความคิดที่เป็นเหตุผล และดำเนินตามรูปแบบการเขียนที่สถาบันนั้นกำหนด
2.2.4 ในรายวิชาหนึ่งๆ ผู้สอนอาจกำหนดให้ผู้เรียนทำแต่รายงาน หรือวิทยานิพนธ์หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง หรืออาจให้ทำทั้ง 2 อย่างก็ได้ตามความเหมาะสม
2.3 วิทยานิพนธ์ หรือปริญญานิพนธ์ (Thesis or Dissertation) ได้แก่
2.3.1 รายงานการค้นคว้าวิจัยที่นิสิตปริญญาโท และปริญญาเอกต้องทำตาม
หลักสูตรของการศึกษา มี ปริมาณ และคุณภาพที่สูงกว่าภาคนิพนธ์
2.3.2 ผลงานการศึกษาค้นคว้าวิจัย ใช้เวลาศึกษาค้นคว้าไม่น้อยกว่า 1 ปี
และผู้เขียนต้องรับผิดชอบในการเลือกหัวข้อเรื่อง และกำหนดขอบเขตที่ต้องศึกษาค้นคว้าให้ลึกซึ้งกว่าภาคนิพนธ์
2.3.3 วิทยานิพนธ์ หรือปริญญานิพนธ์ในระดับปริญญาโท และปริญญาเอก
ต้องมีคุณภาพทางวิชาการที่สูงกว่ากันตามลำดับ
ส่วนประกอบของรายงาน และภาคนิพนธ์
รายงาน และภาคนิพนธ์มีส่วนประกอบที่สำคัญ 3 ส่วน คือ ส่วนประกอบตอนต้นเนื้อเรื่อง และส่วนประกอบตอนท้าย แต่ละส่วนมีรายละเอียดดังนี้
1. ส่วนประกอบตอนต้น ประกอบด้วย
1.1 ปกนอก
1.2 ใบรองปก
1.3 ปกใน
1.4 คำนำ คือส่วนที่บอกเหตุผล หรือแรงจูงใจที่ทำรายงานเรื่องนั้นๆ หัวข้อเนื้อหาคร่าวๆ จากนั้นอาจกล่าวแสดงความขอบคุณผู้ให้ความช่วยเหลือ ประโยชน์
1.5 สารบัญ คือ หัวข้อสำคัญของเนื้อหา ซึ่งต้องแบ่งเป็นบท และบอกเลขหน้าที่ปรากฏเนื้อหานั้นๆ
1.6 สารบัญตาราง หรือบัญชีตาราง
1.7 สารบัญรูปภาพ หรือสารบัญภาพประกอบ
2. เนื้อเรื่อง ประกอบด้วย
2.1 ส่วนประกอบที่เป็นเนื้อหา ได้แก่
2.1.1 บทนำ เป็นการกล่าวนำเนื้อหาในเรื่องที่ทำ
2.1.2 เนื้อเรื่อง
2.1.3 สรุป
2.2 ส่วนประกอบในเนื้อหา ได้แก่
2.2.1 อัญประภาษ
2.2.2 เชิงอรรถ
2.2.3 ตาราง
2.2.4 ภาพประกอบ
3. ส่วนประกอบตอนท้าย ประกอบด้วย
3.1 หน้าบอกตอน
3.2 บรรณานุกรม
3.3 ภาคผนวก
3.4 อภิธานศัพท์
การจัดเรียงหัวข้อต่างๆ ในการเขียนรายงาน จะต้องมีครบทั้ง 3 ส่วนใหญ่ๆดังกล่าว แต่หัวข้อย่อยบางหัวข้อ อาจมีหรือไม่มีก็ได้ ขึ้นอยู่กับเรื่องราวที่ศึกษาค้นคว้า ซึ่งผู้เขียนจะทราบดีว่าหัวข้อย่อยข้อใดจำเป็น หรือไม่จำเป็นในการเขียนรายงาน
ขั้นตอนการเขียนรายงาน
1. เลือกเรื่องการตั้งชื่อเรื่อง ควรเป็นวลี หรือประโยคที่เป็นข้อความกะทัดรัด สื่อความหมายชัดเจนการเลือกเรื่องที่จะทำรายงาน ส่วนใหญ่ผู้สอนมักให้โอกาสผู้เรียนเลือกเอง เพื่อให้ผู้เรียนได้แสดงความคิดเห็น ความสามารถของตนเอง ในการเลือกเรื่องที่จะทำรายงานควรเป็นเรื่องที่
1. เป็นเรื่องที่ผู้ทำมีความรู้ ความสนใจเป็นพิเศษ เป็นประโยชน์ต่อตนเอง และผู้อ่านเพราะเมื่อมีความรู้ ความสนใจ ย่อมทำให้เขียนได้ง่ายขึ้น
2. เป็นเรื่องที่สามารถหาข้อมูลมาประกอบการเขียนได้มากพอ
3. เป็นเรื่องที่สามารถใช้เวลาได้เหมาะสมกับหัวข้อ และกำหนดส่งของรายงาน
4. เป็นเรื่องที่มีขอบเขตเนื้อหาเหมาะสม ไม่กว้าง หรือแคบเกินไป ถ้ากว้างเกินไปถ้ากว้างเกินไปอาจทำให้เขียนได้ผิวเผิน ไม่มีจุดสำคัญให้เจาะลึก ถ้าแคบเกินไปทำให้หาข้อมูลรายละเอียดได้จำกัด ซึ่งมีวิธีกำหนดขอบเขตเนื้อหาของเรื่องให้เหมาะสมดังนี้
4.1 ใช้แง่มุมที่เหมาะสมของเรื่องเป็นตัวกำหนด เช่นปัญหาสังคม กำหนดเป็น ปัญหายาเสพติด ปัญหาชุมชนแออัด ปัญหาวัยรุ่น
4.2 ใช้ยุคสมัยเป็นตัวกำหนด เช่นประเพณีไทย กำหนดเป็น ประเพณีไทยสมัยกรุงสุโขทัยประเพณีไทยสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ฯลฯ
4.3 ใช้ขอบเขตทางภูมิศาสตร์เป็นตัวกำหนด เช่นประเพณีไทย กำหนดเป็น ประเพณีไทยในภาคอีสาน ประเพณีไทยภาคใต้
4.4 ใช้กลุ่มบุคคล เป็นตัวกำหนด เช่นการขุดคอคอดกระ กำหนดเป็น การขุดคอคอดกระในทัศนะของนักเศรษฐศาสตร์ ฯลฯ
2. สำรวจแหล่งข้อมูล
เพื่อเป็นการสะดวก และประหยัดเวลาในการค้นหาข้อมูลเพื่อที่จะทำรายงาน นอกจากจะค้นหาจากแหล่งสารนิเทศต่างๆ เช่น ห้องสมุด ศูนย์สารนิเทศ ศูนย์เอกสารสนเทศ สื่อโสตทัศน์และอื่นๆแล้ว การค้นหาข้อมูลในแหล่งสารนิเทศก็ควรรู้จักวิธีการต่างๆ และใช้เครื่องมือช่วยค้นเพื่อที่จะทำให้ได้ข้อมูลเร็วขึ้น ได้แก่
1. บัตรรายการ
2. ดรรชนี
3. หนังสืออ้างอิง
4. บรรณานุกรม
5. บริการตอบคำถามและช่วยการค้นคว้า
3. อ่านเพื่อจดบันทึก
การบันทึก หรือการจดโน้ต หมายถึงการบันทึก หรือจดเรื่องราวจากการบรรยายปาฐกถาจากการสอนของครู อาจารย์ จากวิทยุ โทรทัศน์ หรือการบันทึกสรุปย่อจากหนังสือ หรือสิ่งพิมพ์ต่างๆ เพื่อประกอบการค้นคว้า ทำรายงาน ซึ่งมีทั้งการจดบันทึกจากการอ่าน และบันทึกจากการฟังในการเขียนรายงาน การจดบันทึกจากการอ่าน ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ ทั้งว่าเป็นสิ่งสำคัญ ทั้งนี้เพราะสามารถใช้เป็นข้อมูลในการประกอบเนื้อหา สนับสนุนให้รายงานมีน้ำหนัก และสมบรูณ์ยิ่งขึ้น การอ่านเพื่อการจดบันทึกนั้น ตอนแรกควรอ่านอย่างคร่าวๆ เพื่อให้เข้าใจเนื้อหาโดยตลอด ไม่จำเป็นต้องอ่านทุกประโยค ทุกตัวอักษร เลือกอ่านเฉพาะที่สำคัญ และเกี่ยวกับเรื่องที่จะทำรายงาน อาจอ่านเฉพาะย่อหน้าแรก และย่อหน้าสุดท้าย เพราะประโยคสำคัญมักอยู่ตอนต้น และย่อหน้าสุดท้าย ซึ่งมักเป็นการสรุปเรื่อง จากนั้นจึงอ่านโดยตั้งคำถาม ว่าเราต้องการอะไรจากเรื่องที่อ่าน เช่น
ใครทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร ทำทำไม ผลเป็นอย่างไร สุดท้ายจึงอ่านโดยใช้วิจารณญาณ
ต้องอ่านอย่างละเอียดพิจารณาเนื้อหาว่ามีเหตุผลน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใด ส่วนใดสำคัญพอที่จะนำมาอ้างอิงได้จากนั้นจึงจดบันทึก
การจัดบันทึก
เมื่ออ่านจนเข้าใจเนื้อหาสำคัญแล้ว ควรบันทึกรายละเอียดไว้เพื่อป้องกันเมื่อลงมือเขียนรายงาน จะไม่ต้องย้อนกลับไปอ่านใหม่ ในการจดบันทึกเนื้อหา ส่วนใหญ่มักบันทึกลงในบัตรขนาด 4 X 6นิ้ว หรือ 5 X 8นิ้ว หรือใช้กระดาษสมุดแบ่งครึ่งก็ได้ เลือกใช้ตามสะดวก โดยบันทึก
1. หัวข้อเรื่อง บันทึกหัวข้อเรื่องที่ค้นได้ โดยเขียนไว้ที่มุมขวาของบัตร
2. แหล่งที่มาของข้อมูล เช่น ชื่อผู้แต่ง ปีที่พิมพ์ ชื่อหนังสือ ครั้งที่พิมพ์ สถานที่พิมพ์
สำนักพิมพ์ และหน้าที่ปรากฏข้อความนั้น ตามแบบบรรณานุกรม เพื่อเป็นหลักฐานในการค้นคว้าเพิ่มเติมภายหลัง
3. ข้อมูลที่บันทึก บันทึกเฉพาะเนื้อหาที่คิดว่าสำคัญ และเป็นประโยชน์ในการเขียนรายงาน และควรบันทึกให้ถูกต้องสมบรูณ์ที่สุด ไม่ควรใช้ตัวย่อโดยไม่จำเป็น เพื่อไม่ต้องเสียเวลากลับไปค้นคว้าใหม่ การบันทึกลงในบัตร หัวข้อเรื่องหนึ่งควรใช้บัตร 1 แผ่น ถ้าเนื้อหายาวไม่จบใน 1 บัตร ก็สามารถต่อแผ่นที่ 2,3... โดยเขียนหัวข้อเรื่อง และกำกับด้วยหมายเลขในทุกแผ่นใช้คลิบหนีบรวมไว้ด้วยกัน หรือเย็บมุมติดกันไว้ แบะควรบันทึกหน้าเดียว
วิธีจดบันทึก
ในการจดบันทึกเพื่อทำรายงาน อาจจดบันทึกด้วยวิธีหนึ่ง หรือหลายวิธีต่อไปนี้
1. การจดบันทึกแบบย่อความ คือ การย่อเอาเฉพาะใจความสำคัญที่เกี่ยวกับรายงานแล้วนำมาเรียบเรียงใหม่ อาจใช้สำนวนของตนเองก็ได้ แต่ต้องให้ได้ใจความตามต้นฉบับเดิมภาษากับความมั่นคงของชาติเยาวลักษณ์ ญาณสภาพ. (2533). “ภาษากับความมั่นคงของชาติใน ที่ระลึกพิธีประกาศเกียรติคุณครูภาษาไทยดีเด่นประจำปีพุทธสักราช
2532 กรุงเทพฯ : กอง
วรรณคดีและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร. หน้า 170.
สาเหตุที่คนไทยใช้ภาษาไทยผิด เพราะ
1. วงการศึกษาให้ความสำคัญวิชาภาษาไทยน้อยมาก โดยเฉพาะหลักสูตรที่มี

การเปลี่ยนแปลงอยู่บ่อยๆ
2. อิทธิพลของวัฒนธรรมตะวันตก ปัจจุบันคนไทยพูดภาษาไทยปน
ภาษาต่างประเทศแม้แต่ชื่อบริษัท หรือชื่อวงดนตรีที่โด่งตังก็จะใช้ภาษาต่างประเทศ
3. สื่อมวลชนมักใช้ภาษาไทยผิดแบบแผน เพื่อเร้าความสนใจ ทำให้ผู้อ่าน
จดจำและนำไปใช้ผิดไปด้วย

2. การจดบันทึกแบบถอดความ คือ การเขียนขึ้นใหม่ทั้งหมดจากต้นฉบับ
เดิม ซึ่งอาจเป็นร้อยกรอง หรือ ภาษาต่างประเทศ แล้วถอดความเป็นสำนวนของผู้บันทึกเอง หรือเป็นข้อความที่ไม่สำคัญพอที่จะใส่ในเครื่องหมายอัญประกาศ หรือถ้าคัดลอกข้อความมาอาจยาวเกินไปจึงเขียนขึ้นเป็นสำนวนตัวเอง
วรรณคดี
เสถียร โกเศศ(พระยาอนุมานราชธน). (2515). ค่าของวรรณคดี. กรุงเทพฯ : คลังวิทยา. หน้า18.
ความคมของคำกล่าวที่เห็น จะอยู่ที่การเปรียบเทียบชีวิตของคน ว่ามีถึงสองชีวิต คือ
ชีวิตทาอาชีพ เปรียบได้กับชีวิตที่เกี่ยวข้องอยู่กับวัตถุ หรือทรัพย์สินเงินทอง อีกชีวิตหนึ่งเป็นด้านของชีวิตที่นำความสุข ความอิ่มเอิบมาสู่ผู้ที่เห็นคุณค่าของชีวิตในด้านนี้ ซึ่งมีคนไม่น้อยที่ไม่เห็นความสำคัญของชีวิตด้านนี้ เพราะมุ่งไปทางวัตถุเป็นสำคัญ ซึ่งน่าเสียดาย เพราะทำให้เห็นชีวิตในด้านเดียว มองชีวิตในทัศนะที่แคบ

3. การบันทึกแบบคัดลอกข้อความหรือคำพูด คือ ข้อความนั้นสำคัญมาก ไม่สามารถเขียนได้ดีเท่าของเดิม การบันทึกแบบนี้ต้องคัดลอกให้ถูกต้องตามต้นฉบับทุกคำพูด ถ้าข้อความยายเกินไป ต้องการจะตัดตอนเอาเฉพาะที่สำคัญให้ใช้จุด 3 จุด(...) ตรงข้อความที่ตัดออก แต่ต้องใส่เครื่องหมายอัญประกาศ (“ ”) คลุมข้อความทั้งหมดไว้ด้วย
มีผู้กล่าวว่าลักษณะของข้อความที่บันทึกโดยวิธีคัดลอกข้อความนี้มักจะมีลักษณะอยู่ในเกณฑ์ข้อใดข้อหนึ่งต่อไปนี้
3.1 เป็นคำจำกัดความ หรือความหมายของคำ
3.2 เป็นสูตร กฎ หรือระเบียบ
3.3 เป็นข้อความที่เป็นคติเดือนใจ มีความงดงามทางภาษา เช่น สุภาษิตคำพังเพย โอวาท หรือสุนทรพจน์ของบุคคล
สมองมีไว้คิด
ถนอมวงศ์ ล้ำยอดมรรคผล. (2529). การอ่านให้เก่ง. พิมพ์ครั้งที่2. กรุงเทพฯ : กระดาษสา.
หน้า 17.
ใครที่นั่งหลับเวลาเรียนบ่อยๆ จงรู้เกิดว่า เป็นเพราะไม่ได้ติดตาม หรือไม่ได้คิด ด้านถ้อยคำที่ได้ยินได้ฟัง การคิดและตั้งคำถามเป็นวิธีแก้ง่วงที่ชะงัดที่สุด หากลุกขึ้นถามปัญหานั้น ก็จะหายง่วงทันที ปัญหาที่คิดนั้นอาจเป็นปัญหาที่ตัวเองรู้คำตอบดีอยู่แล้วก็ได้ หรือไม่ทราบคำตอบจริงๆก็ได้ ถ้ารู้จักถาม อาจได้คำตอบที่ไม่คาดคิดมาก่อนก็ได้ เมื่อคุณอ่านก็เช่นกันหากหมั่นถามตัวเองก็จะไม่ง่วง บางทียังได้อะไรใหม่ๆที่ไม่เคยได้จากการอ่านครั้งก่อนก็ได้"
4. การบันทึกแบบวิจารณ์หรือสรุปความ เป็นการสรุปความคิดเห็นของตนเองหลังจากการอ่านเรื่องนั้นแล้ว อาจเปรียบเทียบ สรุป วิจารณ์ สนับสนุนโต้แย้งความคิดนั้น
สารนิเทศ
ประภาวดี สืบสนธิ์. (2532). “พฤติกรรมสารนิเทศชมรมนิสิตวิชาบรรณารักษศาสตร์จุฬา.
9 (ฉบับฉลองหลักสูตรบรรณารักษศาสตร์และสารนิเทศศาสตร์). หน้า 24.ผู้เขียนได้แบ่งสารนิเทศไว้ 2 ประเภท คือ แหล่งสารนิเทศภายในตัวบุคคล และแหล่งสารนิเทศภายนอกตัวบุคคล ซึ่งแหล่งสารนิเทศภายนอกตัวบุคคลยังแบ่งได้อีก 3 แหล่ง คือ แหล่งบุคคลแหล่งสถาบัน และแหล่งที่เป็นสื่อมวลชน

4. วางโครงเรื่อง
เป็นการจัดลำดับเนื้อหาก่อนการเขียนรายงาน เพื่อให้มองเห็นรูปแบบและรายละเอียดที่สัมพันธ์กัน ครอบคลุมเนื้อหาครบถ้วน ไม่เสียเวลาในการค้นหาข้อมูล ดังนั้นจึงควรมีการวางโครงเรื่อง โดย
4.1 จัดเรียงความสำคัญของเนื้อเรื่องโดยกำหนดเป็นหัวข้อใหญ่ สำคัญรองลงมา
เป็นหัวข้อย่อย
4.2 แต่ละหัวข้อควรมีชื่อเป็นข้อความกะทัดรัด ได้ใจความครอบคลุมเนื้อหาแต่
ละตอน
4.3 หัวข้อต่างๆควรมีความสัมพันธ์ต่อเนื่องกันตามลำดับ และไม่ควรแบ่งย่อย
เกินไป เพราะจะทำให้สับสน เข้าใจยาก
4.4 การแบ่งหัวข้อ ควรใช้ตัวเลขกำกับแสดงหัวข้อใหญ่ และหัวข้อย่อยต่อเนื่องกัน
โดยใช้เครื่องหมายยมหัพภาค ควรใช้ตัวเลขเพียง 3 ตัว ถ้าแบ่งย่อยกว่านั้น
ควรใช้ย่อหน้าแทน
ตัวอย่างการวางโครงเรื่อง
หนังสืออ้างอิง
1. ความหมายของหนังสืออ้างอิง
2. ลักษณะของหนังสืออ้างอิง
2.1 เขียนโดยผู้ทรงคุณวุฒิ
2.2 รวบรวมความรู้ครอบคลุมสาขาวิชาต่างๆ
2.3 จัดเรียงเนื้อหาอย่างมีระบบ ทำให้ค้นง่าย สะดวก รวดเร็ว
2.3.1 จัดเรียงตามลำดับตัวอักษร
2.3.2 จัดเรียงตามเวลา หรือเหตุการณ์
2.3.3 จัดเรียงตามลำดับหมวดหมู่
2.4 มีเครื่องมือช่วยค้น
2.4.1 อักษรนำเล่ม (Volume Guide)
2.4.2 คำชี้นำ (Guide Word)
2.4.3 ดรรชนีนิ้วมือ (Thumb Index)
2.4.4 ดรรชนี (Index)
2.5 มีความประณีตในการจัดทำ
2.5.1 กระดาษมีคุณภาพดี
2.5.2 ตัวพิมพ์มีความคมชัด
2.5.3 การเข้าเล่มได้มาตรฐาน
5. เรียบเรียงเนื้อหาฉบับร่าง
โดยจัดเรียงบัตรบันทึกให้เป็นหมวดหมู่ โดยแยกหัวข้อเรื่องเดียวกันไว้ด้วยกันและจัดลำดับหัวข้อเรื่องตามโครงเรื่องที่วางไว้ เรียงตามลำดับหัวข้อใหญ่ หัวข้อย่อยให้เหมาะสมตามข้อมูลบางหัวข้อไม่จำเป็นต้องใช้ ให้แยกต่างหาก อย่าทิ้งเพราะอาจต้องนำมาใช้เพิ่มเติมภายหลัง จากนั้นลงมือเขียนรายงาน โดยประมวลข้อมูล ความรู้ ความคิดทั้งหมดเข้าด้วยกัน ด้วยภาษา สำนวนที่สละสลวย อ่านเข้าใจง่าย ตัวสะกด ตัวการรันต์ถูกต้องตามพจนานุกรม แสดงความคิดเห็นอย่างมีเหตุผลให้ผู้อ่านเกิดความเข้าใจได้ง่าย ข้อความใดที่คัดลอกมา ควรเขียนเชิงอรรถ หรือแหล่งที่มาให้ถูกตองตามแบบแผน หากมีรูปภาพ ตาราง แผนภูมิ ก็จะทำให้รายงานสมบรูณ์ยิ่งขึ้น
6. จัดทำฉบับสมบรูณ์
ทบทวน ตรวจทาน แก้ไข ความถูกต้องสมบรูณ์ของเนื้อหา และภาษา รูปแบบการพิมพ์การเว้นระยะต่างๆ ตลอดถึงการจัดรูปเล่มควรเรียงลำดับหน้าต่างๆอย่างไร เมื่อเห็นว่าถูกต้องสมบรูณ์แล้วจึงนำไปเข้าเล่ม และนำส่งอาจารย์ต่อไป
เอกสารอ้างอิง
จุฑารัตน์ นกแก้ว. (ม.ป.ป.). ห้องสมุดกับการรู้สารสนเทศ. กรุงเทพฯ : เอมพันธ์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. คณะอักษรศาสตร์ ภาควิชาบรรณารักษศาสตร์. (2542). การค้นคว้า
และเขียนรายงาน. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ชนะ เวชกุล. (2529). การเขียนรายงานจากการค้นคว้า. กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์.
ณรงค์ ป้อมบุปผา. (2526). วิธีสอนวิชาการศึกษาค้นคว้าเบื้องต้น. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ :
โอเดียนสโตร์.
นงลักษณ์ ไม่หน่ายกิจ. (2526, มกราคม). บริการสนเทศ : ความหมายและประเภท
บรรณารักษศาสตร์. 3 : 26.
บุปผา สุดสวัสดิ์. (ม.ป.ป.). เทคนิคการเขียนโครงการ การค้นคว้าเขียนรายงานและภาคนิพนธ์.
สมุทรสาคร : วิทยาลัยเทคนิคสมุทรสาคร.
ประภาวดี สืบสนธิ์. (2540). “พฤติกรรมสารนิเทศ.ชมรมนิสิตวิชาบรรณารักษศาสตร์.
9 (ฉบับฉลองหลักสูตรบรรณารักษศาสตร์และสารนิเทศศาสตร์) : 24.
พวา พันธุ์เมฆา. (2535). สารนิเทศกับการศึกษาค้นคว้า. กรุงเทพฯ : กรุงเทพฯ.
มาลา เล็กชอุ่ม. (ม.ป.ป.). ห้องสมุดกับการรู้สารสนเทศ. กรุงเทพฯ : จิตรวัฒน์.
ลมุล รัตตากร. (2530). การใช้ห้องสมุด. พิมพ์ครั้งที่ 7. กรุงเทพฯ : สมาคมห้องสมุด
แห่งประเทศไทย.
วันเพ็ญ สาลีผลิน. (ม.ป.ป.). ห้องสมุดกับการรู้สารสนเทศ. กรุงเทพฯ : ศูนย์ส่งเสริมอาชีวะ.
วาณี ฐาปนวงศ์ศานติ. (2539). สารนิเทศกับการศึกษาค้นคว้า. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ :
โอเดียนสโตร์.
ศันสนีย์ สุวรรณเจตต์. (2546). ห้องสมุดกับการรู้สารสนเทศ. กรุงเทพฯ : พิสิษฐ์การพิมพ์.
สกุลรัตน์ พานิชกุล. (ม.ป.ป.). หนังสือเรียนหมวดวิชาพื้นฐานภาษาไทย 2. กรุงเทพฯ :
ประสานมิตร.
สุนิตย์ เย็นสบาย. (2543). ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับหนังสืออ้างอิง. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ :
ศิลปาบรรณาคาร.
สุนีย์ เลิศแสวงกิจ และพิศิษฐ์ กาญจนพิมาย. (2546). ห้องสมุดกับการรู้สารสนเทศ. กรุงเทพฯ :
วังอักษร.
เอื้อมพร ทัศนประสิทธิผล. (2542). สารนิเทศเพื่อการศึกษาค้นคว้า. กรุงเทพฯ : สุวีระยาสาส์น.


เสวนาโครงการ "หญิงไทยในยุคเปลี่ยนผ่านสู่ยุคปัจจุบัน"


"หญิงไทยในยุคเปลี่ยนผ่านสู่ยุคปัจจุบัน"



วันเสาร์ที่ 24 สิงหาคม 2556 เวลา 12.30-16.30 พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้จัดงานเสวนาโครงการ "หญิงไทยในยุคเปลี่ยนผ่านสู่ปัจจุบัน" ประธานในการเปิดงานเสวนาคือ รศ.ม.ร.ว.พฤทธิสาณ ชุมพล และ วิทยากร คือ คุณวิกัลย์ พงศ์พนิตานนท์ หัวหน้าหอจดหมายเหตุศิริราชพยาบาล และคุณพิมพ์ฤทัย ชูแสงศรี บรรณาธิการบริหารนิตยสารลิซ่า

 รศ.ม.ร.ว.พฤทธิสาณ ชุมพล



คุณวิกัลย์ พงศ์พนิตานนท์                   คุณพิมพ์ฤทัย ชูแสงศรี 





ภายในงานก่อนจะเปิดการเสวนามีการแสดง จากมหาวิทยาลัยศิลปกร มาบรรเลง บทเพลงพระราชนิพนธ์ ของ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ก่อนจะเข้ารับฟังการเสนวนา







สิงคโปร์

ประเทศสิงคโปร์

สภาพทั่วไป            สิงคโปร์ (อังกฤษ: Singapore) หรือชื่อทางการคือ สาธารณรัฐสิงคโปร์ (อังกฤษ: Republic of Singapore) เป็นนครรัฐที่ตั้งอยู่บนเกาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ละติจูด 1°17'35" เหนือ ลองจิจูด 103°51'20" ตะวันออก (1°17N 103°51E) พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นเกาะซึ่งประกอบด้วยเกาะสิงคโปร์และเกาะใหญ่น้อยบริเวณใกล้เคียง 63 เกาะ มีพื้นที่ รวมทั้งสิ้น 682.7 ตารางกิโลเมตร (ประมาณเกาะภูเก็ต) โดยมีทิศเหนือ ติด มาเลเซีย (Johor Bahru)
ทิศตะวันออก ติด ทะเลจีนใต้ทิศตะวันตก ติด มาเลเซีย และช่องแคบมะละกาทิศใต้ ติด ช่องแคบมะละกา
เกาะสิงคโปร์เป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดมีความยาวจากทิศตะวันตกไปตะวันออกประมาณ 42 กิโลเมตร และความกว้างจากทิศเหนือไปยังทิศใต้ประมาณ 23 กิโลเมตร โดยมีกรุงสิงคโปร์เป็นเมืองหลวง มีการปกครองแบบสาธารณรัฐแบบ Parliamentary Republic ในเครือจักรภพ โดยมีประธานาธิบดีเป็นประมุขของประเทศ วันชาติตรงกับวันที่ 9 สิงหาคม (1965) ของทุกปี สิงคโปร์ได้ชื่อว่าเป็นศูนย์รวมแห่งความหลากหลาย มีจำนวนประชากรประมาณ 4.35 ล้านคน (2548) ซึ่งเป็นชาวจีน 77% มาเลย์ 14% อินเดียน7.6%และอื่นๆ 1.4% ภาษาทางการที่ใช้จึงมีทั้งภาษาจีน มาเลย์ ทมิฬและอังกฤษ มีศาสนาประจำชาติคือ พุทธศาสนา มุสลิม ฮินดู คริสต์เตียน เต๋า ซิกซ์ และลัทธิขงจื้อตราแผ่นดินของ ประเทศสิงคโปร์โล่สีแดงประดับจันทร์เสี้ยวและกลุ่มดาว ๕ ดวง ข้างซ้ายเป็นสิงโต แทนสิงคโปร์ ข้างขวาเป็นเสือโคร่ง แทนความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์ของเกาะกับมาเลเซีย ข้างใต้มีคำขวัญ
“Majulahsingapura:” ซึ่งมีความหมายว่า สิงคโปร์จงเจริญ


สัญลักษณ์ประจำชาติของสิงคโปร์
สิงคโปร์มีสัญลักษณ์ประจำชาติ คือ สิงโต ซึ่งเป็นที่มาของชื่อประเทศ มาจากคำว่า สิงคปุระ (Singapura) เป็นภาษาสันสกฤต หมายถึงเมืองแห่งสิงโต สัญลักษณ์นี้เป็น ตัวแทนของความกล้าหาญ ความแข็งแกร่ง และความดีเลิศ สิงโตจะเป็นสีแดงทั้งหมด ซึ่งตัดกับพื้นหลังสีขาว ๒ สีนี้ เป็นสีของธงชาติ      แผงคอเป็นสิงโตมี ๕ แฉก มี ความหมายเช่นเดียวกับกลุ่มดาวทั้ง ๕ ลักษณะท่าทางที่มุ่งมั่นของสิงโต แสดงถึง จิตใจที่เป็นหนึ่งเดียวของประเทศที่พร้อมจะเผชิญกับอุปสรรคทั้งหลายและชนะอุปสรรคเหล่านั้น

ธงชาติของสิงคโปร์แบ่งเป็น ๒ ส่วนเท่า ๆ กัน ตามแนวนอน
ส่วนบนเป็น สีแดง : เป็นสัญลักษณ์ของความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องและความเสมอภาคของมนุษย์
ส่วนล่างเป็นสีขาว : เป็นสัญลักษณ์หของความดี และความบริสุทธิ์ที่เจริญงอกงามไม่มี ที่สิ้นสุดตรง
มุมซ้ายด้านบนเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวสีขาวข้าง ๆ มีกลุ่มดาวสี ขาว ๕ ดวง เรียงเป็นวงกลมตรงมุมซ้ายด้านบนเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวสีขาวข้าง ๆ มีกลุ่มดาวสี ขาว ๕ ดวง เรียงเป็นวงกลมพระจันทร์เสี้ยว เป็นสัญลักษณ์ของประเทศที่กำลังเจริญก้าวหน้ากลุ่มดาว ๕ ดวง เป็นสัญลักษณ์ของประชาธิปไตย สันติภาพ ความเจริญก้าวหน้า ความยุติธรรม และความเสมอภาค


ภูมิอากาศ
สภาพอากาศของสิงคโปร์เป็นแบบร้อนชื้นและฝนตกตลอดปี อุณหภูมิโดยเฉลี่ยเท่ากับ 23 – 33 องศาเซลเซียส


ประวัติศาสตร์ประเทศสิงคโปร์
สิงคโปร์เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ปลายสุดแหลมมาลายู เป็นสถานพักสินค้าของพ่อค้าทั่วโลก เดิมชื่อว่า     เทมาเส็ก (ทูมาสิค) มีกษัตริย์ปกครอง ต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 17 ได้มีเจ้าผู้ครองนครปาเล็มบังเดินทางแสวงหาดินแดนใหม่เพื่อสร้างเมือง แต่เรือก็อับปางลง พระองค์ได้ว่ายน้ำขึ้นฝั่ง แล้วก็เห็นสัตว์ชนิดหนึ่งมีรูปร่างลำตัวสีแดงหัวดำหัวคล้ายสิงโตหน้าอกขาว พระองค์จึงถามคนติดตามว่า สัตว์ตัวนั้นคืออะไรคนติดตามก็ตอบว่ามันคือ สิงโต พระองค์จึงเปลี่ยนชื่อเทมาเส็กเสียใหม่ว่า สิงหปุระ ต่อมาสิงหปุระก็ได้ตกเป็นของสุลต่านแห่งมะละกา
ยุคการล่าอาณานิคม
ประเทศแรกที่มายึดสิงคโปร์ไว้ได้คือโปรตุเกส เมื่อปี ค.ศ. 1511 แล้วก็ถูกชาวดัตช์มาแย่งไป แต่ประมาณปี ค.ศ. 1817 อังกฤษได้แข่งขันกับดัตช์ในเรื่องอาณานิคม อังกฤษได้ส่งเซอร์โทมัส แสตมฟอร์ดบิงก์เลย์แรฟเฟิลส์ มาสำรวจดินแดนแถบสิงคโปร์ ตอนนั้นสิงคโปร์ยังมีสุลต่านปกครองอยู่ แรฟเฟิลส์ได้ตกลงกับสุลต่านว่า จะตั้งสถานีการค้าของอังกฤษที่นี่ แต่สุดท้ายอังกฤษก็ยึดสิงคโปร์ไว้เป็นเมืองขึ้นได้สำเร็จ
                การรวมชาติเข้ากับมาเลเซีย
เมื่อสิงคโปร์เห็นมาเลเซียได้รับเอกราชจากอังกฤษ สิงคโปร์จึงรีบขอรวมชาติเข้ากับมลายูกลายเป็นสหภาพมลายูทันที เพื่อจะได้ไม่เป็นเมืองขึ้นของอังกฤษอีก แต่สิงคโปร์ก็ไม่พอใจกับมาเลเซียมากนักเพราะมีการเหยียดชนชาติกัน ทำให้พรรคกิจประชาชนของสิงคโปร์ประกาศให้สิงคโปร์เป็นเอกราชตั้งแต่วันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ. 1965 ตั้งแต่บัดนั้นมาในชื่อ สาธารณรัฐสิงคโปร์ เมื่อแยกตัวออกมาแล้วพรรคกิจประชาชนก็ครองประเทศมาตลอดจนถึงทุกวันนี้
                ประวัติศาสตร์การเมืองการปกครอง
ประวัติศาสตร์ของสิงคโปร์ก่อนศตวรรษที่ 14 มิได้ถูกบันทึกอย่างชัดเจนและแน่นอนนัก ในช่วงศตวรรษที่ 14 สิงคโปร์อยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรมัชฌาปาหิตแห่งชวา ต่อมาในต้นศตวรรษที่ 15 ก็อยู่ภายใต้การยึดครองของอาณาจักรสยาม จนถูกประมุขแห่งมะละกาเข้ามาแย่งชิงไป และเมื่อโปรตุเกสเข้ายึดครองมะละกา สิงคโปร์ก็กลายเป็นเมืองขึ้นของโปรตุเกสในราวปี ค.ศ. 1498 และต่อมาอยู่ภายใต้อิทธิพลของฮอลันดาในช่วงศตวรรษที่ 17
เมื่ออังกฤษขยายอิทธิพลเข้ามาบริเวณแหลมมลายูในกลางศตวรรษที่ 18 ก็เริ่มสนใจสิงคโปร์ ในปี ค.ศ. 1819 อังกฤษได้ขอเช่าเกาะสิงคโปร์จากจักรวรรดิ์ยะโฮร์ซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของฮอลันดา ในปี 1824 อังกฤษมีสิทธิครอบครองสิงคโปร์ตามข้อตกลงที่ทำกับฮอลันดา ต่อมาในปี ค.ศ. 1826 สิงคโปร์ถูกปกครองภายใต้ระบบสเตรตส์เซ็ตเติลเมนท์ (Straits Settlement) ซึ่งให้บริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษควบคุมดูแลสิงคโปร์ รวมทั้งปีนัง และมะละกาด้วย และต่อมาในปี ค.ศ. 1857 รัฐบาลอังกฤษได้เข้ามาดูแลระบบนี้เอง ในปี ค.ศ. 1867 สิงคโปร์กลายเป็นอาณานิคม (Crown Colony) ของอังกฤษ จนกระทั่งปี ค.ศ. 1946 จึงได้รับการยกฐานะให้เป็นอาณานิคมแบบเอกเทศ (Separate Crow colony) เมื่ออังกฤษกลับมาควบคุมสิงคโปร์อีกครั้งหนึ่ง ภายหลังจากที่สิงคโปร์อยู่ภายใต้การยึดครองของญี่ปุ่น ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 (ค.ศ. 1942-1946)
ในฐานะที่เป็นอาณานิคมแบบเอกเทศนั้น สิงคโปร์มีอำนาจปกครองกิจการภายในของตนเองแต่ไม่มีอำนาจดูแลกิจการทหารและการต่างประเทศ และยังมีผู้ว่าราชการจากอังกฤษมาปกครองอยู่ ในสภานิติบัญญัติ (Legislative Council) นั้น อังกฤษเริ่มเปิดโอกาสให้ประชาชนเลือกตั้งสมาชิกบางส่วน (6 คน จาก 22 คน) ได้ ซึ่งในการเลือกตั้งสมาชิกสภาบางส่วนนี้ในปี 1948 พรรคก้าวหน้า (Progressive Party) ของสิงคโปร์ได้ที่นั่งมากที่สุด ต่อมาในปี ค.ศ. 1951 สมาชิกสภาที่มาจากการเลือกตั้งถูกเพิ่มเป็น 9 คน ในจำนวน 25 คน และในปี ค.ศ. 1955 ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับแรกสมาชิกที่มาจากการเลือกตั้งมีจำนวน 25 คน ในจำนวน 32 คน
ต่อมาอังกฤษให้ชาวสิงคโปร์มีอำนาจและมีส่วนร่วมในการปกครองตนเองมากขึ้นในช่วง 10 ปี ก่อนที่สิงคโปร์จะประกาศเป็นสาธารณรัฐนั้น สิงคโปร์จึงอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาล 3 ชุด คือ (1) รัฐบาลของนายเดวิด มาร์แชล (David Marshall) จากปี 1955-1956 (2) รัฐบาลของนายลิมยิวฮ๊อค (Lim Yew Hock) จากปี ค.ศ. 1956-1959 และ (3) รัฐบาลของนาย ลี กวน ยู (Lee Kuan Yew) ซึ่งภายใต้รัฐบาลนี้สิงคโปร์มีอำนาจในการปกครองตนเองอย่างสมบูรณ์แล้ว และนายลี กวน ยูได้เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนแรกของสิงคโปร์ ต่อมาในช่วงปี 1963-1965 รัฐบาลชุดนี้ก็ได้ตัดสินใจเข้าไปรวมอยู่ในสหพันธรัฐมาลายา และอยู่ได้เพียง 2 ปี
นับจากปี ค.ศ. 1965 เมืองสิงคโปร์ประกาศตนเป็นประเทศเอกราช มีอำนาจอธิปไตยของตนเอง โดยปกครองในรูปของสาธารณรัฐ หลังจากนั้นสิงคโปร์อยู่ภายใต้การปกครองของนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียวเป็นเวลาถึง 25 ปี ซึ่งก็คือ นาย ลี กวน ยู ทั้งนี้เป็นเพราะพรรคกิจประชา (PAP: People’ Action Party) ซึ่งนาย ลี เป็นผู้ก่อตั้งแต่ปี ค.ศ. 1961 นั้นมีชัยชนะในการเลือกตั้งเกือบทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งทั่วไป หรือการเลือกตั้งซ่อม
ทศวรรษ 1990 เป็นจุดเริ่มต้นของกรปรับเปลี่ยนการปกครองสิงคโปร์จากผู้นำกลุ่มเก่า (Old Guards) เป็นผู้นำรุ่นใหม่ (New Guards) นายโก๊ะจ๊กตง (GohChok Tong) ได้รับการคัดเลือกจากพรรคกิจประชาและคณะรัฐมนตรี ให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่สองของสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 1990 นาย ลี กวน ยู ยังดำรงตำแหน่งอยู่ในรัฐบาลชุดใหม่โดยเป็นรัฐมนตรีอาวุโส และในปี ค.ศ. 1993 สิงคโปร์เริ่มใช้ระบบประธานาธิบดีแบบใหม่ ซึ่งมาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน
ปัจจุบันปี ค.ศ. 2006 ประเทศสิงคโปร์ได้มีการเลือกตั้งทั่วไปเพื่อเลือกผู้นำคนใหม่และทีม เพื่อร่วมกันพัฒนาประเทศต่อไป แต่อย่างไรก็ดี พรรคกิจประชาก็ได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้นเหมือนอย่างเดิม โดยพรรค PAP ได้รับที่นั่งในฝ่ายรัฐบาล 82 ที่นั่งจาก 84 ที่นั่ง ซึ่งเท่ากับสมัยนายโก๊ะจ๊กตงได้รับในปี พ.ศ. 2544 แต่ได้คะแนนเสียงลดลงจากสมัยแรกที่ได้ 75.3 เป็น66.6 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งรัฐบาลนี้ที่อยู่ภายใต้การบริหารงานของนาย ลี เซียน ลุง สมัยที่สองซึ่งรัฐบาลจะมีนโยบายผลักดันในเรื่องปัญหาคนยากไร้ ผู้สูงอายุและคนว่างงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่นาย ลี เซียน ลุงจะได้รับการเลือกตั้งในครั้งนี้นั้น เขาได้เน้นโยบายแบ่งปันรายได้ผนวกกับความอ่อนแอและแตกแยกของพรรคฝ่ายค้าน ทำให้พรรค PAP ได้ครองอำนาจสืบทอดมาเป็นระยะเวลา 4 ทศวรรษ
การเมือง
ระบอบการปกครองของสิงคโปร์ คือ ระบอบประชาธิปไตย มีประธานาธิบดีเป็นประมุข ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน คือ นายโทนี ตัน เค็งยัม เข้ารับตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2544 ส่วนนายกรัฐมนตรีคือ นายลี เซียน ลุง ซึ่งรับตำแหน่งต่อจากนายโก๊ะจ๊กตง และนายลี กวน ยู

ซึ่งมีฐานะเป็นบิดาของนาย ลี เซียน ลุง สิงคโปร์แยกตัวออกจากมาเลเซียเมื่อปี พ.ศ. 2508 มีการปกครองในระบอบสาธารณรัฐโดยมีประธานาธิบดีเป็นประมุขทางพิธีการ และมีนายกรัฐมนตรีเป็นประมุขทางด้านบริหาร สิงคโปร์เป็นประเทศที่มีความมั่นคงทางการเมืองมากที่สุดประเทศหนึ่งของโลก เพราะนับแต่ตั้งประเทศเป็นต้นมา มีรัฐบาลที่มาจากพรรคเดียวและเป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก และมีการควบคุมสิทธิเสรีภาพของสื่อสารมวลชนและประชาชนในการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลอย่างค่อนข้างเข้มงวด
เส้นทางคมนาคม
ที่ตั้งของสิงคโปร์เป็นเส้นทางระหว่างทวีปยุโรป และเอเซียตะวันตก กับภาคพื้นตะวันออกไกล รวมทั้งภาคพื้นแปซิฟิค ทำให้สิงคโปร์เป็นชุมทางของเส้นทางเดินเรือ และสายการบินระหว่างประเทศ และเป็นแหล่งชุมนุมการค้าขาย ปัจจุบันสิงคโปร์ มีท่าเรือที่ใหญ่เป็นอันดับสองของเอเซีย รองจากโยโกฮามาของญี่ปุ่น และเป็นท่าเรือที่มีการขนส่งสินค้ามาก เป็นอันดับสามของโลก




รถไฟฟ้าในสิงคโปร์
การขนส่งทางบก สิงคโปร์มีพื้นที่ไม่มาก ประมาณ 900 ตารางกิโลเมตร แต่ถนนที่จัดว่าอยู่ในเกณฑ์ดีมาก ประมาณ 1,300 กิโลเมตร นอกจากถนนแล้ว ยังมีทางรถไฟอยู่สองสาย มีความยาวประมาณ 45 กิโลเมตร ได้มีการสร้างทางรถไฟสายสิงคโปร์ - กรันจิ เมื่อปี พ.ศ. 2446 สมัยรัฐบาล สเตทส์ เซตเติลเมนต์ (StsteSelllement) โดยมีการเดินรถจากสถานีแทงค์โรค ไปยังวู๊ดแลนด์ และมีบริการแพขนานยนต์ ข้ามฟากไปเชื่อมต่อกับทางรถไฟจากแผ่นดินใหญ่ด้วย ต่อมาในปี พ.ศ. 2456 การรถไฟแห่งสหพันธ์มลายู ได้รับซื้อกิจการนี้แล้วปรับปรุง ให้เริ่มจากสถานีบูกิตบันยัง ถึงสถานีตันหยงปาการ์ ต่อมาในปี พ.ศ. 2462 ได้มีการเริ่มสร้างถนนข้ามช่องยะโฮร์ เพื่อให้ทางรถไฟติดต่อถึงกัน ทางรถไฟสายหลัก ข้ามถนนข้ามช่องยะโฮร์มาเลเซีย ตัดกลางประเทศ ลงสู่ใต้ถึงสถานีปลายทาง ที่ใกล้ท่าเรือเคปเปล โดยมีทางแยกเลยเข้าไปในท่าเรือเคปเปลด้วย ทางรถไฟอีกสายหนึ่ง แยกจากสายแรกไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ รถไฟสายนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของรัฐบาลมาเลเซีย การเดินทางไปในสถานีรถไฟ เพื่อโดยสารถือว่าเป็นการเดินทางผ่านประเทศ ต้องมีการตรวจลงตราหนังสือเดินทาง หรือเอกสารอย่างอื่นทำนองเดียวกัน


ท่าเรือสิงคโปร์
การขนส่งทางน้ำ มีการขนส่งทางน้ำภายในประเทศ ทางน้ำชายฝั่งและทางน้ำระหว่างประเทศ ทางน้ำภายในประเทศ มีใช้อยู่ในวงจำกัด และไม่ค่อยสะดวก เพราะสิงคโปร์เป็นเกาะเล็ก ๆ และมีแนวชายฝั่งสั้น ภายในเกาะเองก็มีแม่น้ำสายสั้น ๆ และไม่ติดต่อถึงกัน รวมทั้งยังตื้นเขินมาก จึงต้องจำกัดเวลา ในการใช้คือ ในช่วงเวลาน้ำขึ้นเท่านั้น ทางน้ำชายฝั่ง เป็นส่วนหนึ่งของระบบขนส่งทางน้ำระหว่างประเทศ แต่มีลักษณะเฉพาะของตนเองคือ ใช้เรือเล็ก ท่าเรือเล็กๆ ที่มีจำนวนมากมาย เส้นทางเดินเรือสั้น การให้บริการไม่เป็นประจำ เรือที่เดินตามบริเวณชายฝั่ง มีหลายบริษัท และมีบริษัทที่ให้บริการเป็นประจำไปยังท่าเรืออินโดนิเซีย มาเลเซียตะวันออก และตะวันตก และไทย ทางน้ำระหว่างประเทศ รัฐบาลได้จัดตั้งสำนักงานจดทะเบียนเรือของสิงคโปร์ขึ้น เมื่อปี พ.ศ. 2509 และได้มีการตราพระราชบัญญัติอนุญาตให้มีการจดทะเบียนเรือ ซึ่งเจ้าของอยู่ในต่างประเทศ เมื่อปี พ.ศ. 2511 โดยมีความมุ่งหมายจะชักจูงเรือสินค้าต่างชาติ ที่ไปจดทะเบียนเป็นเรือสัญชาติไซบีเรีย และปานามา ให้สนใจโอนสัญชาติเป็นเรือสิงคโปร์ได้ ท่าเรือแห่งชาติ จัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2507 ได้มีการปรัปปรุงท่าเรือสิงคโปร์ ให้สามารถรับเรือคอนเทนเนอร์ ที่มีการเปลี่ยนแปลงใหม่ และสามารถอำนวยความสะดวก ให้กับเรือบรรทุกน้ำมันขนาดสองแสนตัน หรือมากกว่า ท่าเรือ แต่เดิมใช้ท่าเรือเคปเปล ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของสิงคโปร์ และมีเกาะเซนโตซา กับเกาะบรานี เป็นที่กำบังลม ต่อมาบริเวณของการท่าเรือ ได้ขยายออกไปจนเกินอาณาบริเวณ ทั้งพื้นที่บนฝั่ง และในทะเลรวม 538 ตารางกิโลเมตร ท่าเรือสิงคโปร์ มีทั้งท่าเรือน้ำลึกตรงที่ท่าเรือเคปเปล มาจนถึงตันจงปาการ์ ท่าเรือสิงคโปร์เริ่มตั้งแต่ฝั่งตะวันตกของเกาะ เลียมริมฝั่งตะวันตก เรื่อยไปจนถึงฝั่งตะวันออกของเกาะทีซันไจ มาตา อิกาน บีคอน เขตการค้าเสรี ทางการสิงคโปร์ ได้ประกาศเขตการค้าเสรี เมื่อปี พ.ศ. 2512 ตามบริเวณท่าเรือ ตั้งแต่เตล๊อก อาเยอร์เบซิน จนถึงจาร์ดินสเตปส์ กับจูร่ง ในบริเวณนี้ทางการได้จัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกให้ สายการเดินเรือแห่งชาติ ได้จัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2511 บริษัทนี้เป็นสมาชิกของชมรมเดินเรือแห่งตะวันออกไกล เมื่อปี พ.ศ. 2512
สิงคโปร์แอร์ไลน์
การขนส่งทางอากาศ การขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ เริ่มมีสายการบินทำการค้าสายแรก เมื่อปี พ.ศ.
2473 เป็นของบริษัทดัทช์อิสท์อินเดีย และในปี พ.ศ. 2478 สายการบินแควนตัส ได้เปิดการบินระหว่างสิงคโปร์ กับออสเตรเลีย ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ท่าอากาศยานสากล เดิมอยู่ที่ปายาเลบาร์ อยู่ห่างจากตัวเมืองไปประมาณ 12 กิโลเมตร มีทางวิ่งยาวประมาณ 4,000 เมตร สามารถรับเครื่องบินพาณิชย์ได้ทุกขนาดและทุกแบบ ปัจจุบันสิงคโปร์มีท่าอากาศยานนานานชาติ ที่จัดส่งทันสมัยมากคือ ท่าอากาศยานนานาชาติชางงี มีขีดความสามารถในการรับเครื่องบินโดยสารขนาดใหญ่ และการให้บริการพร้อม ๆ กันถึง 45 เครื่อง มีการสร้างทางวิ่งที่สองบนพื้นที่ ที่ได้จากการถมทะเล สายการบินแห่งชาติ เดิมสิงคโปร์ มีสายการบินร่วมกับมาเลเซียใช้ชื่อว่า มาเลเซีย - สิงคโปร์ แอร์ไลนส์ (Malasia - Singapore Airlines) ต่อมาเมื่อได้แยกประเทศกันแล้ว ก็ได้แยกสายการบินออกจากกันด้วย เมื่อปี พ.ศ. 2515 สายการบินของสิงคโปร์ใช้ชื่อว่า สิงคโปร์แอร์ไลน์ (Singapore Airlines SIA)

วันจันทร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2556

การเดินทางของบาทหลวงฝรั่งเศสในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ราชาธิราช

การเดินทางของบาทหลวงฝรั่งเศสในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ราชาธิราช



ฝรั่งเศสเข้ามาติดต่อกับกรุงศรีอยุธยาในช่วงพุธศตวรรษที่  23 หลังชาวยุโรปชาติอื่นๆ  ความสัมพันธ์กับฝรั่งเศสเป็นระยะเวลาค่อนข้างสั้นเฉพาะในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเท่านั้น สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงให้การต้อนรับคณะบาทหลวงชาวฝรั่งเศสเป็นอย่างดี  นอกจากจะเผยแพร่คริสต์ศาสนาแล้ว  พวกบาทหลวงยังทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างรัฐบาลของพระเจ้าหลุยส์ที่  14  กับราชสำนักอยุธยา  พ่อค้าฝรั่งเศสได้รับอนุญาตให้เข้ามาทำการค้าที่กรุงศรีอยุธยา  หลังจากนั้นทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนคณะทูตระหว่างกัน คณะทูตของฝรั่งเศสชุดแรกเข้ามาใน  พ.ศ.  2228 โดยมีเชอวาเลีย  เดอ  โชมอง เป็นราชทูต  คณะทูตชุดที่ 2 เข้ามาใน พ.ศ.  2230  มีลาลูแบร์  เป็นราชทูต  ส่วนคณะทูตของไทยที่เดินทางไปถึงฝรั่งเศสและมีชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือคือคณะทูตที่มี พระวิสุทธสุนทร ( โกษาปาน )  เป็นราชทูตได้เดินทางไปฝรั่งเศสใน พ.ศ. 2229จุดมุ่งหมายหลักของฝรั่งเศสอยู่ที่การติดต่อการค้ากับไทย  และพยายามโน้มน้าวให้สมเด็จพระนารายณ์มหาราชและคนไทยยอมรับนับถือคริสต์ศาสนานิการโรมันคาทอลิก  แต่ฝ่ายไทยให้ความสนใจในเรื่องการค้าและความสัมพันธ์ทางการทูตมากกว่า  ทั้งนี้ก็เพื่อถ่วงดุลอำนาจของฮอลันดา  เนื่องจากฮอลันดาไม่ใจระบบการผูกขาดสินค้าของกรุงศรีอยุธยา  จึงมีท่าทีแข็งกร้าวต่อกรุงศรีอยุธยาความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศเกิดความสับสนขึ้น  เมื่อคอนสแตนติน  ฟอลคอน ชาวกรีกของบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ  ได้รับตำแหน่งเป็นเสนาบดีมีบรรดาศักดิ์เป็นออกญาวิไชเยนทร์และเป็นคนใกล้ชิดของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช  ได้ใช้อิทธิพลที่มีอยู่ในราชสำนักสนับสนุนให้กองทหารฝรั่งเศสเข้ามาประจำการที่บางกอกและมะริด เพื่อป้องกันการก่อกบฏของขุนนางไทย  ขณะเดียวกันก็เป็นเครื่องค้ำประกันผลประโยชน์และอิทธิพลในราช-สำนักของฟอลคอนให้มั่นคงด้วย   ในปลายสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ขุนนางไทยรวมตัวกันต่อต้านฟอลคอนและฝรั่งเศส  ขณะที่สมเด็จพระนารายณ์มหาราชประชวร  เกิดวิกฤตการณ์ทางการเมือง  โดยพระเพทราชาหัวหน้าขุนนางไทยได้เข้ายึดอำนาจการปกครอง  ฟอลคอนถูกประหาร กองทหารฝรั่งเศสถูกล้อมที่ป้อมเมืองบางกอก  และถูกขับไล่ออกไปใน พ.ศ. 2231ความสัมพันธ์กับฝรั่งเศสหยุดชะงักไปเป็นเวลา 15 ปี จึงได้เริ่มมีการติดต่อกันอีกครั้งแต่ความสัมพันธ์มิได้ก้าวหน้านัก เพราะอยุธยาระมัดระวังในการติดต่อกับต่างประเทศมากขึ้น  ขณะที่ฝรั่งเศสต้องทำสงครามในยุโรป อย่างไรก็ตาม คณะบาทหลวงชาวฝรั่งเศสก็ยังคงเผยแผ่คริสต์ศาสนาที่กรุงศรีอยุธยา  จนสิ้นสุดสมัยอยุธยาความสัมพันธ์กับฝรั่งเศสไม่ได้มีผลเฉพาะทางด้านการค้าและการเมืองเท่านั้น  แต่ศิลปวิทยาด้านต่างๆ ของฝรั่งเศสได้เผยแผ่ในอยุธยาด้วย โดยเฉพาะด้านสถาปัตยกรรมและวิศวกรรมวิศวกร  ชาวฝรั่งเศสเป็นผู้ออกแบบพระราชวังตึกเลี้ยงรับรองแขกเมือง  บ้านหลวงรับราชทูตที่ลพบุรี  สร้างและซ่อมแซมป้อมต่างๆ ทั้งที่ลพบุรีและบางกอกให้ได้มาตรฐานชองตะวันตก  ส่วนทางด้านการทหาร  นายทหารฝรั่งเศสได้เข้ามาฝึกกองทหารแบบยุโรป ขณะเดียวกันบาทหลวงฝรั่งเศสไดมีบทบาททางการใช้เครื่องมือดาราศาสตร์  เช่น กล้องส่องดูดาวแก่กลุ่มเจ้านายน้อย ถึงกับสมเด็จพระนารายณ์มหาราชโปรดเกล้าฯ ให้สร้างหอดูดาวขึ้นที่ลพบุรี นอกจากนี้ยังมีแพทย์ชาวฝรั่งเศสซึ่งเข้ามารับราชการเป็นแพทย์หลวง ได้รักษาคนป่วยด้านการผ่าตัดอย่างไรก็ตาม วิทยาการเหล่านี้ไม่ได้มีการสานต่อความรู้ให้สืบทอดต่อมา  เพราะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในตอนปลายสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช  เมื่อขุนนางและข้าราชการไทยได้ปลุกระดมราษฎรให้ต่อต้านอิทธิพลของฝรั่งเศสในราชสำนักอย่างรุนแรง  ราชสำนักอยุธยาจึงมีความระมัดระวังมากยิ่งขึ้นในการติดต่อกับต่างประเทศ และแม้ว่าคณะบาทหลวงชาวฝรั่งเศสจะได้รับอนุญาตให้อยู่ที่กรุงศรีอยุธยาต่อไปได้  แต่ก็ถูกควบคุมเข้มงวดจากราชสำนัก  ศิลปะวิทยาการต่างๆ ที่ฝรั่งเศสนำมาเผยแพร่จึงสะดุดล

          การเดินทางของบาทหลวงฝรั่งเศสที่เดินทางเข้ามายังกรุงศรีอยุธยา นั้น ในบันทึกของบาทหลวงฝรั่งเศสหลายฉบับล้วนมีเหตุการณ์น่าสนใจ คือ
          วันที่ ๒๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๒๐๕ คณะทูตศาสนาของฝรั่งเศสที่พระสันตะปาปาแห่งกรุงโรมให้เดินทางเข้ามาเผยแพร่ คริสต์ศาสนาในภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้เดินทางมาถึงกรุงศรีอยุธยาคณะบาทหลวงชุดนี้มีบาทหลวงลาม๊อต ลังแบรต์ (De La Motte Lambert) ซึ่งเป็นสังฆราช แห่งแบริธ (Eveque de Beryte) เป็นหัวหน้าคณะร่วมกับ บาทหลวง เดดิเอร์ และบาทหลวงเดอบูร์ซ (De Brourges) นับเป็นบาทหลวงฝรั่งเศสคณะแรกที่เข้ามาในกรุงศรีอยุธยา โดยเดินทางเข้ามาทางกรุงมะริด เพื่อเตรียมการไปเผยแผ่ศาสนาในประเทศจีนอันนัม และตังเกี๋ย ในเวียดนามต่อไป
          การเดินทางของคณะบาทหลวงชุดนี้ บันทึกการเดินทางว่า ได้เดินทางจากฝรั่งเศสผ่านทะเลเมดิเตอร์ เรเนียน ประเทศตุรกี ประเทศเปอร์เซีย และโมกุล มาถึงกรุงศรีอยุธยา (การเดินทางของคณะบาทหลวงนี้ได้ถูกขัดขวางโดยเรือของโปรตุเกสและฮอลันดา ไม่ยอมรับชาวฝรั่งเศสโดยสารเรือมาด้วย เนื่องจากมีข้อพิพาทการทำสงครามในยุโรป) จึงทำให้คณะบาทหลวงฝรั่งเศสลงเรือใบขนาดเล็กสองพันตัน มีสามเสา ออกจากฝรั่งเศสที่ เมืองมาร์เชย์ ริมฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเมื่อวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๒๐๓ เดินทางไปยังเกาะมอลตา (Malthe) แล้วขึ้นบกที่เมืองอาเล็ปโป (Alep) ของตุรกี และขี่อูฐข้ามทะเลทรายไปเมืองแบกแดด (บาบิโลน) เดินทางต่อไปยังเมืองบาสโซร่าประเทศอารเบีย (Basra ปัจจุบันอยู่ในอิรัก) พบกองเรือขายสินค้าฮอลันดา จากนั้นเดินทางบกต่อไปยังเมืองซีรัส (Sehiras) ประเทศเปอร์เชีย ไปเมืองอิสปาฮัน เมืองหลวงของเปอร์เชีย แล้วเดินทางต่อไปถึงเมืองโกโมรอน (Gomoron) ซึ่งคณะบาทหลวงได้พบคนอังกฤษและฮอลันดาอยู่กันอย่างหรูหรา
          คณะบาทหลวงได้เดินทางต่อไปถึงเมืองสุรัต (Suratte) ท่าเรือของอินเดีย แล้วเดินทางบกต่อไปถึงเมืองมาสุลีปาตัน (Masulipatan) ของมหาอาณาจักรโมกุล ราชอาณาจักรกอลกอนดา (Golconde) ซึ่งอยู่ในประเทศอินเดียปัจจุบันใกล้เมืองมัทราส คณะบาทหลวงผู้เผยแผ่ศาสนาลงเรือใบข้ามทะเลอันดามัน มายังเมืองตะนาวศรี แล้วลงจากเรือใหญ่ ที่เมืองมะริดของอาณาจักสยาม ต่อจากนั้นนั่งเรือเล็กต่อไปในแม่น้ำ จนถึงหมู่บ้านริมน้ำ แล้วจึงขึ้นเกวียนเทียมวัว ใช้เวลาหลายวันหลายคืนจนมาถึงกรุงศรีอยุธยา เมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๒๐๕ ระยะเวลาเดินทางนั้นเดินย้อนเวลามาทางทิศตะวันออก จึงเร็วกว่าปกติ น่าจะใช้เวลาเดินทางจริงประมาณ ๔-๕ ปี
          ต่อมาในเดือน พฤษภาคม พ.ศ. ๒๒๐๙ คณะบาทหลวงได้พยายามเดินทางลงเรือไปเขมร แต่เรือไป ล่มลงใกล้จันทบุรี จึงเดินทางกลับอยุธยาทางบก มาอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านชาวญวนซึ่งอยู่ห่างจากอยุธยาหนึ่งร้อยเส้น คณะทูตทางศาสนาอีกคณะหนึ่งที่ได้เดินทางมาอาณาจักรสยาม ในเวลาใกล้เคียงกันคือคณะของ สังฆราชปัลลือ พร้อมกับบาทหลวงอีก ๔ รูป เดินทางออกจากฝรั่งเศสเมื่อวันที่ ๒ มกราคม พ.ศ. ๒๒๐๕ โดยเรือจากฝรั่งเศสที่ท่ามาร์เซย์ ผ่านเมืองอาเล็ปโป ตุรกี เมืองแอร์เซอร์รอน เมืองอิสปาฮัน ลงเรือจากเมือง คาเมอรอนในอ่าวเปอร์เซียแล่นใบไปเมืองสุรัต ในอินเดีย เดินทางบกผ่านอาณาจักรโมกุล อาณาจักร กอลกอนดาถึงเมืองมาสุลีปาตัน ลงเรือในอ่างเบงกอล แล้วเดินทางมาถึงกรุงศรีอยุธยาใน พ.ศ. ๒๒๐๗ (เดินทางเรือใช้เวลาประมาณ ๑-๒ ปี)
          สังฆราชปัลลือได้พบกับสังฆราช เดอ ลาม๊อต ลังแบรต์ ในอาณาจักรสยามแล้ว จึงพากันตกลงที่จะใช้อาณาจักรสยาม เป็นศูนย์กลางการเผยแผ่ของคริสตจักรในภูมิภาคตะวันออกของเอเชียแทน เวียดนามที่เคยตั้งใจไว้แต่เดิม สังฆราชทั้งสองได้ส่งสาส์นไปถวายพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ รายงานถึงความสำเร็จในการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในอาณาจักรสยามให้ทราบ

          สังฆราชปัลลือนั้นพูดภาษาฝรั่งเศส สเปน โปรตุเกส และอันนัมได้ ทั้งยังเชี่ยวชาญทางภาษาและศาสนาของสยามอย่างลึกซึ้ง โดยศึกษาจากพระสงฆ์ที่เชี่ยวชาญที่สุดของอยุธยา สังฆราชปัลลือได้แต่งตำราไวยากรณ์และพจนานุกรมสยามละตินขึ้น มีการสร้างวัดนักบุญยอแซฟ นิกายโรมันคาทอลิก ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ พระองค์ทรงเอาใจพวกฝรั่งเศสโดยทรงหวังจะให้เป็นกำลังต่อต้านพวกฮอลันดา ขณะนั้น ฮอลันดากับฝรั่งเศสทำสงครามกันอยู่ในทวีปยุโรป

          ต่อมาใน พ.ศ. ๒๒๑๒ พระสังฆราชลังแบรต์ ได้รับพระราชานุญาติจากสมเด็จพระนารายณ์ ให้สร้างวัดคริสต์ และค่ายนักบุญเซ็นต์โยเซฟในกรุงศรีอยุธยา สังฆราชลังแบรต์ได้พำนักและมรณภาพที่กรุงศรีอยุธยาเมื่อ พ.ศ. ๒๒๒๒
       
ปฏิสัมพันธ์ของสยามกับฝรั่งเศส
ประเทศฝรั่งเศสและประเทศสยามได้เริ่มความสัมพันธ์กันอย่างเป็นทางการครั้งแรก คณะทูตจาก         ประเทศไทยได้เดินทางไปเยือนประเทศฝรั่งเศสในปีพ.ศ.2227 และพ.ศ.2229 โดยได้รับการต้อนรับจาก พระเจ้าหลุยส์ที่ 14  คณะทูตชุดนี้ออกเดินทางจากอยุธยาโดยเรือสินค้าของฝรั่งเศสที่ชื่อ โวดูส์ถึงเมืองบันตัมในหมู่เกาะชวา และได้พักอยู่ที่นั่นเป็นเวลา ๖ เดือน จากนั้นจึงโดยสารเรือฝรั่งเศส อีกลำหนึ่งชื่อ โซเลย์ดอริอองต์” (Soleil d’ Orient) ออกเดินทางจากเมืองบันตัม ใน พ.ศ.๒๒๒๕ หลังจากนั้นเรือลำนี้ได้หายสาบสูญไปในมหาสมุทรอินเดียโดยไม่ทราบสาเหตุ ในเวลาต่อมา สมเด็จพระนารายณ์ โปรดให้ตั้งคณะทูตขึ้นอีกชุดหนึ่งซึ่งเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อย มีขุนพิไชยวาณิช กับขุนพิชิตไมตรีเดินทางออกไปสืบข่าวยังประเทศฝรั่งเศส ในการไปครั้งนี้ โปรดฯ ให้นำนักเรียนไทยไปด้วย ๔ คน เพื่อศึกษาวิชาการต่างๆ และฝึกหัดขนบธรรมเนียมตามแบบอย่างของชาวฝรั่งเศส อีกทั้งทรงขอให้ทางฝรั่งเศส แต่งทูตผู้มีอำนาจเต็มเข้ามาทำสัญญาพระราชไมตรีอีกด้วย คณะทูตชุดนี้มิได้เข้าเฝ้าพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ อย่างเป็นทางการ เพราะมิได้อัญเชิญพระราชสาส์นของสมเด็จพระนารายณ์ไปด้วยเป็นแต่เพียงถือศุภอักษรของเสนาบดีไปสืบ

ข่าวคณะทูตไทย ชุดก่อนที่ได้หายสาบสูญไปมิทราบข่าวคราว และได้แจ้งพระราชประสงค์ของสมเด็จพระนารายณ์ว่าทรงใคร่ขอให้ทางฝรั่งเศส ส่งคณะทูตมายังอยุธยาเพื่อทำสัญญาค้าขายด้วยคณะบาทหลวงฝรั่งเศส ที่เคยเข้ามาสอนศาสนาในอยุธยาได้กราบทูลพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ว่าหากมีพระราชสาส์นเชื้อเชิญให้สมเด็จพระนารายณ์ทรงเข้ารีต นับถือศาสนาคริสต์โรมันคาทอลิกแล้ว สมเด็จพระนารายณ์ ก็คงไม่ขัดพระราชอัธยาศัย อีกทั้งประชาชนอยุธยาทั้งหมดก็จะหันมานับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกตามด้วยอย่างแน่นอน
           พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ทรงมีความมุ่งมั่นในการเผยแผ่คริสต์ศาสนาอยู่แล้ว จึงทรงเห็นชอบตามคำกราบทูลของบาทหลวง และทรงแต่งตั้งให้เชอวาลิเอร์ เดอ โชมองต์ เป็นเอกอัครราชทูต และมีบาทหลวงเดอชัวซีย์เป็นผู้ช่วยทูต เชิญพระราชสาส์นของพระองค์มาถวายสมเด็จพระนารายณ์ คณะทูตของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ได้เดินทางโดยเรือรบฝรั่งเศส ๒ ลำ ออกจากท่าเมืองเบรสต์เมื่อวันที่ ๓ มีนาคม พ.ศ.๒๒๒๘ และเข้ามาถึงปากน้ำเจ้าพระยาในวันที่ ๒๓ กันยายน ปีเดียวกัน สมเด็จพระนารายณ์โปรดให้ประกอบพิธีต้อนรับอย่างมโหฬาร ในการที่คณะทูตฝรั่งเศสเข้าเฝ้าครั้งนี้ สมเด็จพระนารายณ์โปรดให้สิทธิพิเศษไม่ต้องถอดรองเท้าและหมอบคลานเหมือนกับ ทูตของประเทศอื่น และหลังจากที่ เชอวาลิเอร์ เดอ โชมองต์ เข้าเฝ้าถวายพระราชสาส์นของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ แล้ว สมเด็จพระนารายณ์ ยังโปรดฯ ให้คณะทูตเข้าเฝ้าเป็นพิเศษอีกหลายครั้ง โดยมีฟอลคอนหรือเจ้าพระยาวิชาเยนทร์รอรับอยู่ด้วย
           เจ้าพระวิชาเยนทร์ก็สนับสนุนให้อยุธยาและฝรั่งเศส ทำสนธิสัญญาเป็นพันธมิตรกัน แต่เชอวาลิเอร์ เดอ โชมองต์ มิได้ให้ความสนใจในเรื่องดังกล่าว คงมุ่งแต่จะเกลี้ยกล่อมให้สมเด็จพระนารายณ์เปลี่ยนไปนับถือคริสต์ศาสนาตามพระราชดำริ ของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ สมเด็จพระนารายณ์ กลับมิได้ทรงตอบตกลงแต่อย่างใด ในขณะเดียวกันทรงมีพระประสงค์ที่จะผูกสัมพันธ์กับฝรั่งเศส จึงทรงยอมให้บาทหลวงฝรั่งเศสสอนศาสนา สอนหนังสือ และตั้งโรงพยาบาล ตามแบบยุโรปได้โดยเสรี
           เชอวาลิเอร์ เดอ โชมองต์ กับคณะทูตฝรั่งเศสได้พำนักอยู่ในกรุงศรีอยุธยาประมาณ ๒ เดือนเศษ จึงได้เดินทางกลับประเทศฝรั่งเศส สมเด็จพระนารายณ์ทรงฝากฝังคณะราชทูตชุดที่สามของพระองค์ที่มี        พระวิสุทธสุนทร หรือโกษาปาน หลวงกัลยาณราชไมตรี และขุนศรีวิสารวาจา ซึ่งทรงแต่งตั้งเมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม พ.ศ.๒๒๒๘ ให้เป็นราชทูต อุปทูต และตรีทูต ตามลำดับ ไปกับเรือที่จะนำคณะทูตฝรั่งเศสกลับด้วย คณะทูตไทยชุดนี้ ได้เดินทางออกจากกรุงศรีอยุธยาโดยเรือลัวโซและมาลิน เมื่อวันที่ ๒๒ ธันวาคม พ.ศ.๒๒๒๘ พร้อมกับคณะทูตของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ไปถึงท่าเมืองเบรสต์ เมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน พ.ศ.๒๒๒๙ เนื่องด้วยขณะนั้น พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ทรงพระประชวรอยู่ ทางฝรั่งเศสจึงยังมิได้กำหนดวันเข้าเฝ้า และเจ้าพนักงานได้นำคณะราชทูตไทย ชมเมืองต่างๆ แล้วจึงเดินทางมายังกรุงปารีส เมื่อวันที่ ๑๒ สิงหาคม พ.ศ.๒๒๒๙ ก่อนถึงกำหนดเข้าเฝ้าถวายพระราชสาสน์ แด่พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ เพียงไม่กี่วัน คณะทูตไทย ซึ่งมีพระวิสุทธสุนทร เป็นราชทูต ได้พำนักอยู่ในประเทศฝรั่งเศสเป็นเวลา ๘ เดือนกับ ๑๒ วัน จึงได้ทูลลาพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ กลับอยุธยา พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ได้โปรดฯ ให้เดินทางกลับไปพร้อมราชทูตของพระองค์อีกชุดหนึ่ง ประกอบด้วย โกลด เซเบเรต์ เดอ บุลเล (Claude Ceberert de Boullay) ผู้อำนวยการผู้หนึ่งของบริษัทอินเดียตะวันออกของฝรั่งเศสเป็นราชทูตคนที่หนึ่ง และซิมอง เดอ ลา ลูแบร์ ซึ่งเป็นเนติบัณฑิตฝรั่งเศส นักคณิตศาสตร์ นักปรัชญา และนักแต่งเพลง เป็นราชทูตคนที่สอง คณะทูตชุดนี้ เดินทางมาถึงอยุธยาเมื่อวันที่ ๒๗ กันยายน พ.ศ.๒๒๓๐

 เมื่อ เซเบเรต์ ซึ่งเป็นอัครราชทูตคนที่หนึ่งของคณะทูต ฝรั่งเศสทำสนธิสัญญาเกี่ยวกับสิทธิพิเศษของบริษัทอินเดียตะวันออกของฝรั่งเศสและลงนามกันเรียบร้อยแล้ว จึงได้เดินทางกลับฝรั่งเศส เมื่อช่วงปลาย พ.ศ.๒๒๓๐ ส่วนลาลูแบร์ นั้นยังคงพำนักอยู่ในกรุงศรีอยุธยา ต่อไปอีกหนึ่งเดือน เพื่อรวบรวมข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวกับอยุธยา เมื่อได้หลักฐานตามต้องการแล้ว จึงได้เดินทางกลับประเทศฝรั่งเศสเมื่อวันที่ ๓ มกราคม พ.ศ.๒๒๓๑ สมเด็จพระนารายณ์ โปรดฯ ให้บาทหลวงตาชาร์ด อัญเชิญพระราชสาส์น ของพระองค์ ไปถวายพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ และสันตะปาปาอินโนเซนต์ที่ ๑๑ ที่กรุงโรม พร้อมทั้งมีข้าราชการชั้นผู้น้อยกำกับเครื่องราชบรรณการ ไปด้วย ๓ คน คือ ขุนวิเศษ ขุนชำนาญ และขุนภูเบนทร์ ร่วมด้วยนักเรียนไทยติดตามไปเพื่อศึกษาวิชาการต่างๆ อีกหลายคน เรือของคณะทูตชุดลาลูแบร์เดินทางออกจากปากแม่น้ำเจ้าพระยาในวันที่ ๔ มกราคม พ.ศ.๒๒๓๑ และถึงฝรั่งเศสในเดือนกรกฎาคมปีเดียวกัน ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างอยุธยา และฝรั่งเศสถือว่ารุ่งเรืองอย่างยิ่งในสมัยของสมเด็จพระนารายณ์ แต่ต่อมาพระเพทราชาพระมหากษัตริย์รัชกาลถัดมาทรงระแวงว่าฝรั่งเศสมีแผนการที่จะยึดกรุงศรีอยุธยา จึงมีพระราชประสงค์ที่จะขับไล่ฝรั่งเศสออกไปจากพระราชอาณาจักรและหันไปแสวงหาความช่วยเหลือจากฮอลันดา การณ์ครั้งนี้ทำให้ความสัมพันธ์ทางการทูตกับฝรั่งเศสต้องหยุดชะงักลงในที่สุด
 แต่ต่อมาในปี พ.ศ. 2399 คณะตัวแทนจากฝรั่งเศสหลายคณะได้เดินทางมายังประเทศไทยเพื่อเข้าเฝ้าสมเด็จพระนารายณ์เช่นกัน คณะฯที่มีชื่อเสียงที่สุดเห็นจะได้แก่คณะของเชอร์วัลลิเยร์ เดอ โชมงต์ ความสัมพันธ์ทางด้านการทูตของทั้งสองประเทศเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการอีกครั้งเมื่อปีพ.ศ.2399 และได้มีการเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ด้านการทูตระหว่างสองประเทศครบ 150 ปีเมื่อปีพ.ศ.2549

ที่: 
http://www.ayutthayastudies.aru.ac.th/content/view/699/32/