การเดินทางของบาทหลวงฝรั่งเศสในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ราชาธิราช
.jpg)
ฝรั่งเศสเข้ามาติดต่อกับกรุงศรีอยุธยาในช่วงพุธศตวรรษที่ 23 หลังชาวยุโรปชาติอื่นๆ ความสัมพันธ์กับฝรั่งเศสเป็นระยะเวลาค่อนข้างสั้นเฉพาะในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเท่านั้น สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงให้การต้อนรับคณะบาทหลวงชาวฝรั่งเศสเป็นอย่างดี นอกจากจะเผยแพร่คริสต์ศาสนาแล้ว พวกบาทหลวงยังทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างรัฐบาลของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 กับราชสำนักอยุธยา พ่อค้าฝรั่งเศสได้รับอนุญาตให้เข้ามาทำการค้าที่กรุงศรีอยุธยา หลังจากนั้นทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนคณะทูตระหว่างกัน
คณะทูตของฝรั่งเศสชุดแรกเข้ามาใน พ.ศ. 2228 โดยมีเชอวาเลีย เดอ โชมอง เป็นราชทูต คณะทูตชุดที่ 2 เข้ามาใน พ.ศ. 2230 มีลาลูแบร์ เป็นราชทูต ส่วนคณะทูตของไทยที่เดินทางไปถึงฝรั่งเศสและมีชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือคือคณะทูตที่มี พระวิสุทธสุนทร ( โกษาปาน ) เป็นราชทูตได้เดินทางไปฝรั่งเศสใน
พ.ศ. 2229จุดมุ่งหมายหลักของฝรั่งเศสอยู่ที่การติดต่อการค้ากับไทย และพยายามโน้มน้าวให้สมเด็จพระนารายณ์มหาราชและคนไทยยอมรับนับถือคริสต์ศาสนานิการโรมันคาทอลิก แต่ฝ่ายไทยให้ความสนใจในเรื่องการค้าและความสัมพันธ์ทางการทูตมากกว่า ทั้งนี้ก็เพื่อถ่วงดุลอำนาจของฮอลันดา เนื่องจากฮอลันดาไม่ใจระบบการผูกขาดสินค้าของกรุงศรีอยุธยา จึงมีท่าทีแข็งกร้าวต่อกรุงศรีอยุธยาความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศเกิดความสับสนขึ้น เมื่อคอนสแตนติน ฟอลคอน ชาวกรีกของบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ ได้รับตำแหน่งเป็นเสนาบดีมีบรรดาศักดิ์เป็นออกญาวิไชเยนทร์และเป็นคนใกล้ชิดของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้ใช้อิทธิพลที่มีอยู่ในราชสำนักสนับสนุนให้กองทหารฝรั่งเศสเข้ามาประจำการที่บางกอกและมะริด
เพื่อป้องกันการก่อกบฏของขุนนางไทย ขณะเดียวกันก็เป็นเครื่องค้ำประกันผลประโยชน์และอิทธิพลในราช-สำนักของฟอลคอนให้มั่นคงด้วย ในปลายสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ขุนนางไทยรวมตัวกันต่อต้านฟอลคอนและฝรั่งเศส ขณะที่สมเด็จพระนารายณ์มหาราชประชวร เกิดวิกฤตการณ์ทางการเมือง โดยพระเพทราชาหัวหน้าขุนนางไทยได้เข้ายึดอำนาจการปกครอง ฟอลคอนถูกประหาร กองทหารฝรั่งเศสถูกล้อมที่ป้อมเมืองบางกอก และถูกขับไล่ออกไปใน พ.ศ. 2231ความสัมพันธ์กับฝรั่งเศสหยุดชะงักไปเป็นเวลา
15 ปี จึงได้เริ่มมีการติดต่อกันอีกครั้งแต่ความสัมพันธ์มิได้ก้าวหน้านัก เพราะอยุธยาระมัดระวังในการติดต่อกับต่างประเทศมากขึ้น ขณะที่ฝรั่งเศสต้องทำสงครามในยุโรป อย่างไรก็ตาม คณะบาทหลวงชาวฝรั่งเศสก็ยังคงเผยแผ่คริสต์ศาสนาที่กรุงศรีอยุธยา จนสิ้นสุดสมัยอยุธยาความสัมพันธ์กับฝรั่งเศสไม่ได้มีผลเฉพาะทางด้านการค้าและการเมืองเท่านั้น แต่ศิลปวิทยาด้านต่างๆ ของฝรั่งเศสได้เผยแผ่ในอยุธยาด้วย โดยเฉพาะด้านสถาปัตยกรรมและวิศวกรรมวิศวกร ชาวฝรั่งเศสเป็นผู้ออกแบบพระราชวังตึกเลี้ยงรับรองแขกเมือง บ้านหลวงรับราชทูตที่ลพบุรี สร้างและซ่อมแซมป้อมต่างๆ
ทั้งที่ลพบุรีและบางกอกให้ได้มาตรฐานชองตะวันตก ส่วนทางด้านการทหาร นายทหารฝรั่งเศสได้เข้ามาฝึกกองทหารแบบยุโรป ขณะเดียวกันบาทหลวงฝรั่งเศสไดมีบทบาททางการใช้เครื่องมือดาราศาสตร์ เช่น กล้องส่องดูดาวแก่กลุ่มเจ้านายน้อย
ถึงกับสมเด็จพระนารายณ์มหาราชโปรดเกล้าฯ ให้สร้างหอดูดาวขึ้นที่ลพบุรี นอกจากนี้ยังมีแพทย์ชาวฝรั่งเศสซึ่งเข้ามารับราชการเป็นแพทย์หลวง ได้รักษาคนป่วยด้านการผ่าตัดอย่างไรก็ตาม วิทยาการเหล่านี้ไม่ได้มีการสานต่อความรู้ให้สืบทอดต่อมา เพราะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในตอนปลายสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เมื่อขุนนางและข้าราชการไทยได้ปลุกระดมราษฎรให้ต่อต้านอิทธิพลของฝรั่งเศสในราชสำนักอย่างรุนแรง ราชสำนักอยุธยาจึงมีความระมัดระวังมากยิ่งขึ้นในการติดต่อกับต่างประเทศ และแม้ว่าคณะบาทหลวงชาวฝรั่งเศสจะได้รับอนุญาตให้อยู่ที่กรุงศรีอยุธยาต่อไปได้ แต่ก็ถูกควบคุมเข้มงวดจากราชสำนัก ศิลปะวิทยาการต่างๆ
ที่ฝรั่งเศสนำมาเผยแพร่จึงสะดุดล
การเดินทางของบาทหลวงฝรั่งเศสที่เดินทางเข้ามายังกรุงศรีอยุธยา นั้น
ในบันทึกของบาทหลวงฝรั่งเศสหลายฉบับล้วนมีเหตุการณ์น่าสนใจ คือ
วันที่
๒๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๒๐๕
คณะทูตศาสนาของฝรั่งเศสที่พระสันตะปาปาแห่งกรุงโรมให้เดินทางเข้ามาเผยแพร่ คริสต์ศาสนาในภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้เดินทางมาถึงกรุงศรีอยุธยาคณะบาทหลวงชุดนี้มีบาทหลวงลาม๊อต
ลังแบรต์ (De La Motte Lambert) ซึ่งเป็นสังฆราช แห่งแบริธ (Eveque
de Beryte) เป็นหัวหน้าคณะร่วมกับ บาทหลวง เดดิเอร์
และบาทหลวงเดอบูร์ซ (De Brourges) นับเป็นบาทหลวงฝรั่งเศสคณะแรกที่เข้ามาในกรุงศรีอยุธยา
โดยเดินทางเข้ามาทางกรุงมะริด เพื่อเตรียมการไปเผยแผ่ศาสนาในประเทศจีนอันนัม
และตังเกี๋ย ในเวียดนามต่อไป
การเดินทางของคณะบาทหลวงชุดนี้
บันทึกการเดินทางว่า ได้เดินทางจากฝรั่งเศสผ่านทะเลเมดิเตอร์ เรเนียน ประเทศตุรกี
ประเทศเปอร์เซีย และโมกุล มาถึงกรุงศรีอยุธยา
(การเดินทางของคณะบาทหลวงนี้ได้ถูกขัดขวางโดยเรือของโปรตุเกสและฮอลันดา
ไม่ยอมรับชาวฝรั่งเศสโดยสารเรือมาด้วย เนื่องจากมีข้อพิพาทการทำสงครามในยุโรป)
จึงทำให้คณะบาทหลวงฝรั่งเศสลงเรือใบขนาดเล็กสองพันตัน มีสามเสา ออกจากฝรั่งเศสที่
เมืองมาร์เชย์ ริมฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเมื่อวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๒๐๓
เดินทางไปยังเกาะมอลตา (Malthe) แล้วขึ้นบกที่เมืองอาเล็ปโป
(Alep) ของตุรกี และขี่อูฐข้ามทะเลทรายไปเมืองแบกแดด
(บาบิโลน) เดินทางต่อไปยังเมืองบาสโซร่าประเทศอารเบีย (Basra ปัจจุบันอยู่ในอิรัก) พบกองเรือขายสินค้าฮอลันดา
จากนั้นเดินทางบกต่อไปยังเมืองซีรัส (Sehiras) ประเทศเปอร์เชีย
ไปเมืองอิสปาฮัน เมืองหลวงของเปอร์เชีย แล้วเดินทางต่อไปถึงเมืองโกโมรอน (Gomoron)
ซึ่งคณะบาทหลวงได้พบคนอังกฤษและฮอลันดาอยู่กันอย่างหรูหรา
คณะบาทหลวงได้เดินทางต่อไปถึงเมืองสุรัต
(Suratte) ท่าเรือของอินเดีย
แล้วเดินทางบกต่อไปถึงเมืองมาสุลีปาตัน (Masulipatan) ของมหาอาณาจักรโมกุล
ราชอาณาจักรกอลกอนดา (Golconde) ซึ่งอยู่ในประเทศอินเดียปัจจุบันใกล้เมืองมัทราส
คณะบาทหลวงผู้เผยแผ่ศาสนาลงเรือใบข้ามทะเลอันดามัน มายังเมืองตะนาวศรี
แล้วลงจากเรือใหญ่ ที่เมืองมะริดของอาณาจักสยาม
ต่อจากนั้นนั่งเรือเล็กต่อไปในแม่น้ำ จนถึงหมู่บ้านริมน้ำ
แล้วจึงขึ้นเกวียนเทียมวัว ใช้เวลาหลายวันหลายคืนจนมาถึงกรุงศรีอยุธยา เมื่อวันที่
๒๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๒๐๕ ระยะเวลาเดินทางนั้นเดินย้อนเวลามาทางทิศตะวันออก
จึงเร็วกว่าปกติ น่าจะใช้เวลาเดินทางจริงประมาณ ๔-๕ ปี
ต่อมาในเดือน
พฤษภาคม พ.ศ. ๒๒๐๙ คณะบาทหลวงได้พยายามเดินทางลงเรือไปเขมร แต่เรือไป
ล่มลงใกล้จันทบุรี จึงเดินทางกลับอยุธยาทางบก มาอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านชาวญวนซึ่งอยู่ห่างจากอยุธยาหนึ่งร้อยเส้น คณะทูตทางศาสนาอีกคณะหนึ่งที่ได้เดินทางมาอาณาจักรสยาม
ในเวลาใกล้เคียงกันคือคณะของ สังฆราชปัลลือ พร้อมกับบาทหลวงอีก ๔ รูป
เดินทางออกจากฝรั่งเศสเมื่อวันที่ ๒ มกราคม พ.ศ. ๒๒๐๕
โดยเรือจากฝรั่งเศสที่ท่ามาร์เซย์ ผ่านเมืองอาเล็ปโป ตุรกี เมืองแอร์เซอร์รอน
เมืองอิสปาฮัน ลงเรือจากเมือง คาเมอรอนในอ่าวเปอร์เซียแล่นใบไปเมืองสุรัต
ในอินเดีย เดินทางบกผ่านอาณาจักรโมกุล อาณาจักร กอลกอนดาถึงเมืองมาสุลีปาตัน
ลงเรือในอ่างเบงกอล แล้วเดินทางมาถึงกรุงศรีอยุธยาใน พ.ศ. ๒๒๐๗
(เดินทางเรือใช้เวลาประมาณ ๑-๒ ปี)
สังฆราชปัลลือได้พบกับสังฆราช
เดอ ลาม๊อต ลังแบรต์ ในอาณาจักรสยามแล้ว จึงพากันตกลงที่จะใช้อาณาจักรสยาม
เป็นศูนย์กลางการเผยแผ่ของคริสตจักรในภูมิภาคตะวันออกของเอเชียแทน
เวียดนามที่เคยตั้งใจไว้แต่เดิม สังฆราชทั้งสองได้ส่งสาส์นไปถวายพระเจ้าหลุยส์ที่
๑๔ รายงานถึงความสำเร็จในการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในอาณาจักรสยามให้ทราบ
สังฆราชปัลลือนั้นพูดภาษาฝรั่งเศส
สเปน โปรตุเกส และอันนัมได้ ทั้งยังเชี่ยวชาญทางภาษาและศาสนาของสยามอย่างลึกซึ้ง
โดยศึกษาจากพระสงฆ์ที่เชี่ยวชาญที่สุดของอยุธยา สังฆราชปัลลือได้แต่งตำราไวยากรณ์และพจนานุกรมสยามละตินขึ้น
มีการสร้างวัดนักบุญยอแซฟ นิกายโรมันคาทอลิก ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์
พระองค์ทรงเอาใจพวกฝรั่งเศสโดยทรงหวังจะให้เป็นกำลังต่อต้านพวกฮอลันดา ขณะนั้น
ฮอลันดากับฝรั่งเศสทำสงครามกันอยู่ในทวีปยุโรป
ต่อมาใน
พ.ศ. ๒๒๑๒ พระสังฆราชลังแบรต์ ได้รับพระราชานุญาติจากสมเด็จพระนารายณ์
ให้สร้างวัดคริสต์ และค่ายนักบุญเซ็นต์โยเซฟในกรุงศรีอยุธยา
สังฆราชลังแบรต์ได้พำนักและมรณภาพที่กรุงศรีอยุธยาเมื่อ พ.ศ. ๒๒๒๒
ปฏิสัมพันธ์ของสยามกับฝรั่งเศส
ประเทศฝรั่งเศสและประเทศสยามได้เริ่มความสัมพันธ์กันอย่างเป็นทางการครั้งแรก
คณะทูตจาก ประเทศไทยได้เดินทางไปเยือนประเทศฝรั่งเศสในปีพ.ศ.2227 และพ.ศ.2229 โดยได้รับการต้อนรับจาก
พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 คณะทูตชุดนี้ออกเดินทางจากอยุธยาโดยเรือสินค้าของฝรั่งเศสที่ชื่อ
“โวดูส์” ถึงเมืองบันตัมในหมู่เกาะชวา
และได้พักอยู่ที่นั่นเป็นเวลา ๖ เดือน จากนั้นจึงโดยสารเรือฝรั่งเศส
อีกลำหนึ่งชื่อ “โซเลย์ดอริอองต์” (Soleil d’ Orient)
ออกเดินทางจากเมืองบันตัม ใน พ.ศ.๒๒๒๕
หลังจากนั้นเรือลำนี้ได้หายสาบสูญไปในมหาสมุทรอินเดียโดยไม่ทราบสาเหตุ ในเวลาต่อมา
สมเด็จพระนารายณ์ โปรดให้ตั้งคณะทูตขึ้นอีกชุดหนึ่งซึ่งเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อย
มีขุนพิไชยวาณิช กับขุนพิชิตไมตรีเดินทางออกไปสืบข่าวยังประเทศฝรั่งเศส
ในการไปครั้งนี้ โปรดฯ ให้นำนักเรียนไทยไปด้วย ๔ คน เพื่อศึกษาวิชาการต่างๆ
และฝึกหัดขนบธรรมเนียมตามแบบอย่างของชาวฝรั่งเศส อีกทั้งทรงขอให้ทางฝรั่งเศส
แต่งทูตผู้มีอำนาจเต็มเข้ามาทำสัญญาพระราชไมตรีอีกด้วย
คณะทูตชุดนี้มิได้เข้าเฝ้าพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ อย่างเป็นทางการ
เพราะมิได้อัญเชิญพระราชสาส์นของสมเด็จพระนารายณ์ไปด้วยเป็นแต่เพียงถือศุภอักษรของเสนาบดีไปสืบ
ข่าวคณะทูตไทย
ชุดก่อนที่ได้หายสาบสูญไปมิทราบข่าวคราว
และได้แจ้งพระราชประสงค์ของสมเด็จพระนารายณ์ว่าทรงใคร่ขอให้ทางฝรั่งเศส
ส่งคณะทูตมายังอยุธยาเพื่อทำสัญญาค้าขายด้วยคณะบาทหลวงฝรั่งเศส
ที่เคยเข้ามาสอนศาสนาในอยุธยาได้กราบทูลพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ว่าหากมีพระราชสาส์นเชื้อเชิญให้สมเด็จพระนารายณ์ทรงเข้ารีต
นับถือศาสนาคริสต์โรมันคาทอลิกแล้ว สมเด็จพระนารายณ์ ก็คงไม่ขัดพระราชอัธยาศัย
อีกทั้งประชาชนอยุธยาทั้งหมดก็จะหันมานับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกตามด้วยอย่างแน่นอน
พระเจ้าหลุยส์ที่
๑๔ ทรงมีความมุ่งมั่นในการเผยแผ่คริสต์ศาสนาอยู่แล้ว
จึงทรงเห็นชอบตามคำกราบทูลของบาทหลวง และทรงแต่งตั้งให้เชอวาลิเอร์ เดอ โชมองต์
เป็นเอกอัครราชทูต และมีบาทหลวงเดอชัวซีย์เป็นผู้ช่วยทูต
เชิญพระราชสาส์นของพระองค์มาถวายสมเด็จพระนารายณ์ คณะทูตของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔
ได้เดินทางโดยเรือรบฝรั่งเศส ๒ ลำ ออกจากท่าเมืองเบรสต์เมื่อวันที่ ๓ มีนาคม
พ.ศ.๒๒๒๘ และเข้ามาถึงปากน้ำเจ้าพระยาในวันที่ ๒๓ กันยายน ปีเดียวกัน
สมเด็จพระนารายณ์โปรดให้ประกอบพิธีต้อนรับอย่างมโหฬาร
ในการที่คณะทูตฝรั่งเศสเข้าเฝ้าครั้งนี้
สมเด็จพระนารายณ์โปรดให้สิทธิพิเศษไม่ต้องถอดรองเท้าและหมอบคลานเหมือนกับ
ทูตของประเทศอื่น และหลังจากที่ เชอวาลิเอร์ เดอ โชมองต์
เข้าเฝ้าถวายพระราชสาส์นของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ แล้ว สมเด็จพระนารายณ์ ยังโปรดฯ
ให้คณะทูตเข้าเฝ้าเป็นพิเศษอีกหลายครั้ง
โดยมีฟอลคอนหรือเจ้าพระยาวิชาเยนทร์รอรับอยู่ด้วย
เจ้าพระวิชาเยนทร์ก็สนับสนุนให้อยุธยาและฝรั่งเศส
ทำสนธิสัญญาเป็นพันธมิตรกัน แต่เชอวาลิเอร์ เดอ โชมองต์
มิได้ให้ความสนใจในเรื่องดังกล่าว
คงมุ่งแต่จะเกลี้ยกล่อมให้สมเด็จพระนารายณ์เปลี่ยนไปนับถือคริสต์ศาสนาตามพระราชดำริ
ของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ สมเด็จพระนารายณ์ กลับมิได้ทรงตอบตกลงแต่อย่างใด
ในขณะเดียวกันทรงมีพระประสงค์ที่จะผูกสัมพันธ์กับฝรั่งเศส
จึงทรงยอมให้บาทหลวงฝรั่งเศสสอนศาสนา สอนหนังสือ และตั้งโรงพยาบาล
ตามแบบยุโรปได้โดยเสรี
เชอวาลิเอร์
เดอ โชมองต์ กับคณะทูตฝรั่งเศสได้พำนักอยู่ในกรุงศรีอยุธยาประมาณ ๒ เดือนเศษ
จึงได้เดินทางกลับประเทศฝรั่งเศส
สมเด็จพระนารายณ์ทรงฝากฝังคณะราชทูตชุดที่สามของพระองค์ที่มี พระวิสุทธสุนทร หรือโกษาปาน
หลวงกัลยาณราชไมตรี และขุนศรีวิสารวาจา ซึ่งทรงแต่งตั้งเมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม
พ.ศ.๒๒๒๘ ให้เป็นราชทูต อุปทูต และตรีทูต ตามลำดับ
ไปกับเรือที่จะนำคณะทูตฝรั่งเศสกลับด้วย คณะทูตไทยชุดนี้
ได้เดินทางออกจากกรุงศรีอยุธยาโดยเรือลัวโซและมาลิน เมื่อวันที่ ๒๒ ธันวาคม
พ.ศ.๒๒๒๘ พร้อมกับคณะทูตของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ไปถึงท่าเมืองเบรสต์ เมื่อวันที่
๑๘ มิถุนายน พ.ศ.๒๒๒๙ เนื่องด้วยขณะนั้น พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ทรงพระประชวรอยู่
ทางฝรั่งเศสจึงยังมิได้กำหนดวันเข้าเฝ้า และเจ้าพนักงานได้นำคณะราชทูตไทย
ชมเมืองต่างๆ แล้วจึงเดินทางมายังกรุงปารีส เมื่อวันที่ ๑๒ สิงหาคม พ.ศ.๒๒๒๙
ก่อนถึงกำหนดเข้าเฝ้าถวายพระราชสาสน์ แด่พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ เพียงไม่กี่วัน
คณะทูตไทย ซึ่งมีพระวิสุทธสุนทร เป็นราชทูต ได้พำนักอยู่ในประเทศฝรั่งเศสเป็นเวลา
๘ เดือนกับ ๑๒ วัน จึงได้ทูลลาพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ กลับอยุธยา พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔
ได้โปรดฯ ให้เดินทางกลับไปพร้อมราชทูตของพระองค์อีกชุดหนึ่ง ประกอบด้วย โกลด
เซเบเรต์ เดอ บุลเล (Claude Ceberert de Boullay) ผู้อำนวยการผู้หนึ่งของบริษัทอินเดียตะวันออกของฝรั่งเศสเป็นราชทูตคนที่หนึ่ง
และซิมอง เดอ ลา ลูแบร์ ซึ่งเป็นเนติบัณฑิตฝรั่งเศส นักคณิตศาสตร์ นักปรัชญา
และนักแต่งเพลง เป็นราชทูตคนที่สอง คณะทูตชุดนี้ เดินทางมาถึงอยุธยาเมื่อวันที่ ๒๗
กันยายน พ.ศ.๒๒๓๐
เมื่อ เซเบเรต์ ซึ่งเป็นอัครราชทูตคนที่หนึ่งของคณะทูต
ฝรั่งเศสทำสนธิสัญญาเกี่ยวกับสิทธิพิเศษของบริษัทอินเดียตะวันออกของฝรั่งเศสและลงนามกันเรียบร้อยแล้ว
จึงได้เดินทางกลับฝรั่งเศส เมื่อช่วงปลาย พ.ศ.๒๒๓๐ ส่วนลาลูแบร์
นั้นยังคงพำนักอยู่ในกรุงศรีอยุธยา ต่อไปอีกหนึ่งเดือน เพื่อรวบรวมข้อมูลต่างๆ
ที่เกี่ยวกับอยุธยา เมื่อได้หลักฐานตามต้องการแล้ว
จึงได้เดินทางกลับประเทศฝรั่งเศสเมื่อวันที่ ๓ มกราคม พ.ศ.๒๒๓๑ สมเด็จพระนารายณ์
โปรดฯ ให้บาทหลวงตาชาร์ด อัญเชิญพระราชสาส์น ของพระองค์ ไปถวายพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔
และสันตะปาปาอินโนเซนต์ที่ ๑๑ ที่กรุงโรม
พร้อมทั้งมีข้าราชการชั้นผู้น้อยกำกับเครื่องราชบรรณการ ไปด้วย ๓ คน คือ ขุนวิเศษ
ขุนชำนาญ และขุนภูเบนทร์ ร่วมด้วยนักเรียนไทยติดตามไปเพื่อศึกษาวิชาการต่างๆ
อีกหลายคน เรือของคณะทูตชุดลาลูแบร์เดินทางออกจากปากแม่น้ำเจ้าพระยาในวันที่ ๔
มกราคม พ.ศ.๒๒๓๑ และถึงฝรั่งเศสในเดือนกรกฎาคมปีเดียวกัน
ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างอยุธยา
และฝรั่งเศสถือว่ารุ่งเรืองอย่างยิ่งในสมัยของสมเด็จพระนารายณ์
แต่ต่อมาพระเพทราชาพระมหากษัตริย์รัชกาลถัดมาทรงระแวงว่าฝรั่งเศสมีแผนการที่จะยึดกรุงศรีอยุธยา
จึงมีพระราชประสงค์ที่จะขับไล่ฝรั่งเศสออกไปจากพระราชอาณาจักรและหันไปแสวงหาความช่วยเหลือจากฮอลันดา
การณ์ครั้งนี้ทำให้ความสัมพันธ์ทางการทูตกับฝรั่งเศสต้องหยุดชะงักลงในที่สุด
แต่ต่อมาในปี พ.ศ. 2399 คณะตัวแทนจากฝรั่งเศสหลายคณะได้เดินทางมายังประเทศไทยเพื่อเข้าเฝ้าสมเด็จพระนารายณ์เช่นกัน
คณะฯที่มีชื่อเสียงที่สุดเห็นจะได้แก่คณะของเชอร์วัลลิเยร์ เดอ โชมงต์
ความสัมพันธ์ทางด้านการทูตของทั้งสองประเทศเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการอีกครั้งเมื่อปีพ.ศ.2399
และได้มีการเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ด้านการทูตระหว่างสองประเทศครบ 150
ปีเมื่อปีพ.ศ.2549
ที่:
http://www.ayutthayastudies.aru.ac.th/content/view/699/32/
ออง ซาน ซูจี
ออง ซาน ซูจี เป็นนักการเมืองฝ่ายค้านของพม่าและเลขาธิการพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยในการเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. 2533 พรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยของเธอได้รับเสียง
59% ของทั้งประเทศ และได้ 392 จาก 485
ที่นั่งในรัฐสภา หรือคิดเป็น 81% อย่างไรก็ดี
เธอถูกกักขังอยู่แต่ในบ้านก่อนหน้าการเลือกตั้ง
เธอถูกคุมตัวอยู่แต่ในบ้านเป็นเวลาเกือบ 15 จาก 21 ปี
ตั้งแต่วันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2532 กระทั่งการปล่อยตัวเธอครั้งล่าสุดเมื่อวันที่
13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553ชีวิตช่วงแรก

ออง ซาน ซูจี เกิดเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2488 ณ ย่างกุ้ง พม่าของอังกฤษ (British Burma) บิดาของเธอ นายพลอองซาน ผู้ได้รับการสนับสนุนจากประเทศญี่ปุ่น
ช่วยให้ญี่ปุ่นยึดพม่าจาก สหราชอาณาจักรได้ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
โดยมีข้อแลกเปลี่ยนกับทางญี่ปุ่นให้แต่งตั้งตนเป็นนายกรัฐมนตรี อย่างไรก็ดี นายพล
ออง ซาน ถูกลอบสังหารเมื่อ วันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2490 เมื่อเธอได้อายุได้ 2 ปี ดอว์ขิ่นจี ผู้เป็นภรรยาของนายพลอองซาน
ต้องรับภาระเลี้ยงดูบุตรชายหญิง 3 คนโดยลำพังหลังจากสามีถูกลอบสังหาร
ซูจีเป็นลูกคนเล็ก และเป็นบุตรสาวคนเดียวของครอบครัว ภายหลังบิดาเสียชีวิตไม่นาน
พี่ชายคนรองของเธอประสบอุบัติเหตุ จมน้ำตายในบริเวณบ้านพัก ซูจีและพี่ชายคนโตคือ
อองซาน อู เติบโตมากับการดูแลของมารดา ที่เข้มแข็ง
และความเอ็นดูของเครือข่ายอำนาจเก่าของบิดาพ.ศ. 2503 ดอว์ขิ่นจี
ได้รับการแต่งตั้งให้ไปดำรงตำแหน่งทูตพม่า ประจำประเทศอินเดีย ซูจีถูกส่งเข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนมัธยมและวิทยาลัยสตรีศรีราม ที่นิวเดลีจากนั้นไปเรียนต่อระดับปริญญาตรี สาขาเศรษฐศาสตร์ การเมือง
และปรัชญาที่เซนต์ฮิวส์คอลเลจ ในสหราชอาณาจักร ระหว่างปี พ.ศ. 2507-2510 ช่วงที่ศึกษาอยู่นั้น ซูจีได้พบรักกับ ไมเคิล อริส นักศึกษาสาขาวิชาอารยธรรมทิเบตปีเดียวกันกับที่ซูจีจบการศึกษา
ดอว์ขิ่นจี หมดวาระในตำแหน่งทูตประจำประเทศอินเดีย และย้ายกลับไปยังย่างกุ้ง ซูจีจึงแยกจากมารดาเพื่อเดินทางไปมหานครนิวยอร์ก ตามคำชักชวนของเพื่อนบิดา
ซึ่งดำรงตำแหน่งเลขาธิการขององค์การสหประชาชาติในขณะนั้น คือ นายอูถั่น
ซึ่งเป็นชาวพม่า ซูจีเข้าทำงานเป็นผู้ช่วยเลขานุการ
ในคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านการตั้งคำถามเกี่ยวกับงบประมาณและการจัดการของสำนักงานเลขาธิการ องค์การสหประชาชาติเดือนมกราคม พ.ศ. 2515 ซูจีแต่งงานกับ ไมเคิล อริส
และย้ายไปอยู่กับสามี ที่ราชอาณาจักรภูฏาน ซูจีได้งานในกระทรวงต่างประเทศของรัฐบาลภูฏาน
ขณะที่ไมเคิลมีตำแหน่งเป็นหัวหน้าฝ่ายการแปล
รวมทั้งมีหน้าที่ถวายการสอนแก่สมาชิกราชวงศ์แห่งภูฏาน ต่อมาในช่วงปี พ.ศ. 2516-2520 ทั้งสองย้ายกลับมาที่กรุงลอนดอน
ไมเคิลได้งานสอนวิชาหิมาลัย และทิเบตศึกษาที่มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด
ซูจีให้กำเนิดบุตรชายคนแรก อเล็กซานเดอร์ ในปี พ.ศ. 2516 และบุตรชายคนเล็ก คิม ในปี พ.ศ. 2520 นอกจากใช้เวลากับการเลี้ยงดูบุตรชายทั้งสองแล้ว
ซูจีเริ่มทำงานเขียนเกี่ยวกับชีวประวัติของบิดาจากความทรงจำของตนเองโดยมิต้องอาศัยเอกสารหลักฐานใดๆ
พ.ศ. 2528-2529 ซูจี และไมเคิลตัดสินใจแยกจากกันระยะหนึ่ง ซูจีได้รับการติดต่อจากศูนย์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา
มหาวิทยาลัยเกียวโต เพื่อทำวิจัยเกี่ยวกับบทบาทของบิดาของเธอ
ขณะที่ไมเคิลได้รับทุนจาก Indian Institute of Advanced Studies ที่ซิมลา (Simla) ทางภาคตะวันออกของอินเดีย ซูจีพาคิม บุตรชายคนเล็กไปญี่ปุ่นด้วย ส่วนไมเคิลได้พาอเล็กซานเดอร์
บุตรชายคนโตไปอยู่ด้วยที่อินเดีย ปีต่อมาไมเคิลประสานงานภายใน
Indian
Institute of Advanced Studies เพื่อให้ซูจีได้รับทุนสนับสนุนเช่นกัน
ซูจีจึงพาคิมมาสมทบกับสามีที่ซิมลา ประเทศอินเดียพ.ศ. 2530
ไมเคิลย้ายครอบครัวกลับมาอยู่ที่ออกซฟอร์ด
ซูจีเข้าศึกษาต่อที่ London School of Oriental and African Studies ที่กรุงลอนดอน เธอได้แสดงความสนใจในการศึกษาเกี่ยวกับวรรณคดีพม่าปลายเดือน มีนาคม พ.ศ. 2531 อองซาน
ซูจี ในวัย 43 ปี เดินทางกลับบ้าน เกิดที่ย่างกุ้ง
เพื่อมาเยี่ยมนางดอว์ขิ่นจี มารดา ในขณะนั้นเป็นช่วงที่เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ
และมีความวุ่นวายทางการเมืองในพม่ากดดันให้นายพลเนวินต้องลาออกจากตำแหน่งประธานพรรคโครงการสังคมนิยมพม่า
(The Burma Socialist Programme Party-BSPP) ที่ยึดอำนาจการปกครอง
ประเทศพม่ามานานถึง 26 ปี เธอเคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า “ตอนที่ดิฉันเดินทางกลับมาพม่าเมื่อ
พ.ศ. 2531 เพื่อมาพยาบาลคุณแม่นั้น
ดิฉันวางแผนไว้ว่าจะมาริเริ่ม ทำโครงการเครือข่ายห้องสมุดในนามของคุณพ่อด้วย
เรื่องการเมืองไม่ได้อยู่ในความสนใจของดิฉันเลย
แต่ประชาชนในประเทศของดิฉันกำลังเรียกร้อง ประชาธิปไตย และในฐานะลูกสาวของพ่อ
(นายพลอองซาน) ดิฉันรู้สึกว่าเป็นหน้าที่ที่ดิฉัน ต้องเข้าร่วมด้วย” ประชาชนไม่พอใจต่อระบอบเนวิน
โดยเฉพาะการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจ นั้นสะสมต่อเนื่อง และรุนแรงมากขึ้นเมื่อมีการปลุกระดมภายหลังจากที่รัฐประกาศยกเลิกการใช้ธนบัตรมูลค่า 25 จัต 35 จัต และ 75
จัต ในเดือน กันยายน พ.ศ. 2530 นักศึกษามหาวิทยาลัยย่างกุ้งประท้วงด้วยการทำลายร้านค้าหลายแห่ง
จนมีเหตุการณ์รุนแรงครั้งสำคัญปะทุขึ้นเป็นครั้งแรกในเดือน มีนาคม พ.ศ. 2531 หลังเกิดเหตุทะเลาะ
วิวาทระหว่างนักศึกษาในร้านน้ำชา และตำรวจจับกุมผู้ก่อเหตุ
กลุ่มนักศึกษาได้รวมตัวกันประท้วง ให้ปล่อยตัวผู้ต้องหา ก่อให้เกิดความไม่พอใจ
ในหมู่นักศึกษาประชาชน และขยายไปทั่วประเทศ มีการประท้วงในพื้นที่ต่างๆ จำนวนมาก
จนเป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่กดดันให้นายพลเนวินต้องประกาศลาออกการลาออกของนายพลเนวินใน วันที่ 23 กรกฎาคม ตามมาด้วยการชุมนุม เรียกร้องประชาธิปไตย
ของนักศึกษา และประชาชนหลายแสนคนในเมืองหลวงย่างกุ้ง และแผ่ขยายไปทั่วประเทศ
ในวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2531 เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย
การประท้วงแผ่ขยายไปทั่วประเทศ
ออง ซาน ซูจี
เข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2531 โดยส่งจดหมายเปิดผนึกเรียกร้องสิทธิในการขึ้นปกครองประเทศของตนจากความดีความชอบของบิดาผู้ล่วงลับ
วันที่ 26 สิงหาคม ออง ซาน ซูจี ในขึ้นกล่าวปราศรัยเป็นครั้งแรก
ต่อหน้าฝูงชนที่มาชุมนุมกันที่เจดีย์ชเวดากอง ในย่างกุ้ง
โดยต่อมาซูจีเรียกร้องให้มีการจัดตั้งรัฐบาลประชาธิปไตย
แต่ผู้นำทหารกลับจัดตั้งสภาฟื้นฟูกฎระเบียบแห่งรัฐ (The State Law and
Order Restoration Council : SLORC) ขึ้นแทน
และได้ทำการปราบปรามและจับกุมผู้ต่อต้านอีกหลายร้อยคนวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2531 ออง ซาน ซูจี ได้ร่วมจัดตั้งพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยขึ้น (National League for
Democracy: NLD) และได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรค
ชีวิตทางการเมืองของนางออง ซาน ซูจี จึงได้เริ่มต้น นับแต่นั้นมารดาของซูจี ดอว์ขิ่นจี
ซึ่งมีอาการป่วยมานาน ได้เสียชีวิตลงในวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2531
ในวันที่ 13 พฤศจิกายน
พ.ศ. 2553 เธอได้รับการปล่อยตัวจากรัฐบาลทหารพม่า เมื่อวันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน ในปีเดียวกัน เธอได้พบกับบุตรชายคนเล็กครั้งแรก
โดยเธอได้รอรับบุตรชายที่สนามบินมิงกะลาดง เธอและบุตรชายได้ปรากฏตัวที่มหาเจดีย์ชเวดากอง เมื่อวันพุธที่ 24 พฤศจิกายน ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่เธอได้อยู่ร่วมกับครอบครัว
แม้จะไม่สมบูรณ์ก็ตามในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม 2555 นางซูจีได้เดินทางออกนอกประเทศเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ถูกกักบริเวณเมื่อปี
พ.ศ. 2533 โดยเข้าร่วมประชุมสภาเศรษฐกิจโลกภูมิภาคเอเชียตะวันออก ที่ประเทศไทย
โดยก่อนหน้าการประชุมนางซูจีได้เยี่ยมแรงงานชาวพม่าที่จังหวัดสมุทรสาคร เพื่อรับทราบปัญหาต่างๆ และให้กำลังใจแรงงานดังกล่าวด้วยนอกจากนี้ ซูจี
ยังได้เดินทางเพื่อไปตระเวนเยือนยุโรปตลอดเดือนมิถุนายน 2555 โดยนางซูจีเดินทางไปเยือนสวิตเซอร์แลนด์เป็นชาติแรกในยุโรป
จากนั้นเดินทางต่อไปยังนอร์เวย์ เพื่อไปรับรางวัลโนเบลสันติภาพด้วยตัวเอง
หลังจากได้รับการประกาศชื่อให้เป็นผู้คว้ารางวัลเมื่อหลายสิบปีก่อน
จากนั้นจึงตระเวนเดินทางต่อไปยัง ไอร์แลนด์ อังกฤษ และฝรั่งเศส
โดยระหว่างเยือนยุโรป นางซูจี
กล่าวสุนทรพจน์ในที่ประชุมองค์การแรงงานระหว่างประเทศ และกล่าวแถลงในรัฐสภาอังกฤษ
รวมทั้ง เข้ารับรางวัลด้านสิทธิมนุษยชนขององค์กรนิรโทษกรรมสากล ในกรุงดับลิน
ของไอร์แลนด์ จาก โบโน ร็อกสตาร์ชื่อดัง
คนสนิทของเธอไม่เปิดเผยรายละเอียดการเยือนต่างประเทศของเธอมากนัก โดยกล่าวเพียงว่า
เธอต้องพกยากล่อมประสาทไปด้วยจำนวนมาก เพราะเธอเมาเรือและเมาเครื่องบินง่ายมาก
การเยือนยุโรปของ นางซูจี มีขึ้นท่ามกลางความขัดแย้งอย่างรุนแรงในรัฐยะไข่
ทางตะวันตกของพม่า ซึ่งเกิดการจลาจล และการเผาบ้านเรือนหลายร้อยหลัง
โดยเธอปฏิเสธไม่ขอออกความเห็นในเรื่องดังกล่าว
 |
นางอองซานและบุตรชาย |
นางอองซานกลับบ้านเกิดเพื่อสานความฝันในการปกครองพม่าของบิดาปล่อยตัว